ตามนั้นครับ สงครามครั้งนี้เกิดเมื่อประมาณปี 44 รบ.ปิดข่าวเงียบมาก
ชนิดว่า คนไทยแทบไม่รู้เลย
พึ่งมีหลุดๆออกมาเมื่อสองสามปีก่อน ผมเองก็เคยได้ยินครูเล่าให้ฟัง แต่ก็
คิดว่าแกโม้เปล่าฟะ รบกันขนาดนั้น ทำไมเราไม่รู้เรื่อง
แต่ฝรั่งรู้เรื่องดี มีการเขียนลงในเว็บด้วยนะ ตอนนั้นผมจำได้ว่าเค้าออกข่าวว่า ซ้อมรบเฉยๆ (ตอนนั้นอยู่ม.4ยังอ๊ะๆอยู่)
มีข่าวหลุดๆมาก็แค่ทหารพม่า ยิงปืนใหญ่พลาดมาตกในฝั่งเรา เราเลยยิงเตือน
กลับไป เน้นว่าเตือน นะจ๊ะ แต่เดือนด้วยกระสุนจริงปลอมไม่รู้
ฝรั่งนี่มันเทพขิงๆ
ลิ้งค์ต้นฉบับ
http://www.acig.org/artman/publish/article_346.shtml
ลืมรายละเอียดเผื่อใคร เอาไปแต่งนิยาย
การสู้รบที่เนิน ๙๖๓๑ ทหารไทย vs ทหารพม่า + ทหารว้าแดง
ชาย
แดนไทย-พม่า มีโอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งระหว่างกันได้ง่าย
อย่างที่ทราบกันดีว่า มีกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารพม่ากลุ่มต่างๆ
เคลื่อนไหวตามแนวชายแดนไทย-พม่าอยู่
ส่วนทางการไทยก็หนักใจกับปัญหาการค้ายาเสพติดที่มีโรงงานผลิตยาอยู่ใกล้ชาย
แดนไทย-พม่า เช่นกัน
นอกจากนั้นเวลารัฐบาลทหารพม่ายกกำลังเข้าปราบปรามกลุ่มชนส่วนน้อยที่ต่อต้าน
รัฐบาล ก็จะมีปัญหาการอพยพหลบภัยสงครามข้ามเข้ามาสู่ชายแดนไทย
เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นประจำ
แต่ที่ลุกลามใหญ่โตจนเกิดการปะทะกันระหว่างกำลังทหารของสองประเทศนั้นเกิด
ขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๔
ทหาร
รัฐบาลพม่า ได้รับคำสั่งให้สนับสนุนกองทหารว้า ของ United Wa State Army
(UWSA) ในการสู้รบกับกลุ่มกบฏรัฐฉาน (Shan State Army, SSA) ปัญหาก็คือ
การเข้าตีกองกำลังรัฐฉานตรงๆ นั้น ยากที่จะเข้าตีได้
เพราะกองทัพรัฐฉานมีฐานที่มั่นอยู่ในชัยภูมิที่ได้เปรียบ
อีกทางหนึ่งที่ง่ายกว่าคือ ตีโอบหลัง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า
กองทัพรัฐฉานมีกองกำลังอยู่ชิดชายแดนไทย
การตีโอบหลังต้องผ่านชายแดนไทยเข้ามา จุดยุทธศาสตร์ตรงบริเวณนี้คือ
ฐานทหารพรานบนเนิน ๙๖๓๑ ซึ่งอยู่บนยอดเขาบริเวณบ้านปางนุ่น
กิ่งอำเภอแม่ฟ้าหลวง ลึกเข้าไปในชายแดนไทย ๑ กม. ใกล้ๆ กันคือ อำเภอแม่สาย
จังหวัดเชียงราย ที่มั่นแห่งนี้มีทหารพรานประจำการอยู่ ๒๐ นาย
ภารกิจหลักของฐานแห่งนี้คือ การสกัดการขนยาเสพติดข้ามแดน
ฝ่ายพม่ามีกำลังอยู่บริเวณนั้น ๙๐๐ นาย เสริมด้วย ทหารว้าอีก ๖๐๐ นาย
เย็น
วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ ทหารพม่า ๒๐๐ นายเข้าโจมตีฐานทหารพรานแห่งนี้
ฝ่ายทหารพรานได้สังหารทหารพม่าได้ ๑๔ นาย บาดเจ็บอีกราว ๓๐ นาย
หลังปะทะกันได้ ๔ ชั่วโมง ฝ่ายทหารพรานเสียชีวิต ๒ นาย(ภายหลังพบว่า
หนึ่งในสองที่คาดว่าตายนั้นยังไม่ตาย) บาดเจ็บอีก ๑๑ นาย
กระสุนเริ่มร่อยหรอลง
จึงขออนุญาตถอนกำลังพร้อมกับนำผู้บาดเจ็บเสียชีวิตออกมาด้วย เนิน ๙๖๓๑
ตกอยู่ใต้การยึดครองของทหารพม่า ซึ่งยิงไล่หลังทหารพราน
ฝ่ายไทยหลังได้รับรายงานได้ส่งกำลังจากกรมทหารม้าที่ ๓ กองพลทหารม้าที่ ๑
เข้าไปช่วยทันที ในชั้นแรกคือ ช่วยทหารพรานออกมาก่อน เพราะตอนนั้นมืดแล้ว
ยังไม่ทราบกำลังที่แท้จริงของพม่าว่ามีเท่าไหร่
จึงได้แต่ตรึงกำลังไว้ก่อนไม่ให้มีการรุกล้ำเข้ามามากกว่านี้
วัน
ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ กรมทหารม้าที่ ๓
ได้รับการเสริมกำลังจากรถสายพานลำเลียงพล M-113A-3 หนึ่งกองร้อย และรถถัง
M-60A-3 อีกหนึ่งกองร้อย ทั้งหมดอยู่ภายใต้การบัญชาการของร้อยเอก สงกรานต์
นิลพันธุ์ นอกจากนี้ทางด้านอำเภอแม่สาย ได้มีการเสริมกำลังเช่นกัน
ทหารไทยพร้อมด้วยกำลังเสริมได้เข้าตีชิงฐาน บนเนิน ๙๖๓๑ คืน
อย่างไม่ยากเย็นนัก ทหารพม่าถอนกำลังกลับข้ามชายแดนไป ทิ้งศพพรรคพวกไว้ ๑๗
ศพ และผู้บาดเจ็บอีก ๖๐ คน ในขณะที่กำลังฝ่ายไทยบาดเจ็บ ๗ นาย
เช้า
วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ทหารพม่า ๓ กรม สนับสนุนด้วยรถถัง T-69
ที่ได้รับมาจากจีน และปืนใหญ่ เข้าโจมตีอำเภอแม่สาย ฝ่ายไทยตอบโต้ด้วยรถถัง
M-60A3 และเครื่องบินขับไล่ F-5 ที่บินมาจากสนามบินเชียงใหม่
ที่ใช้ลูกระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ (LGB) นอกจากนั้นฝ่ายไทยยังมีปืนอัตตาจร
๑๕๕ มม. แบบ M-109 และปืนใหญ่กลางระยะยิงไกลมากอย่าง GCN-55 (ยิงได้ไกลถึง
๔๕ กม.) ทำให้ฝ่ายพม่าได้รับความเสียหายอย่างมาก
เครื่องบินของไทยยังทำการโจมตีหน่วยส่งกำลังบำรุงของพม่าด้วย
ขณะ
ที่ทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบกันอยู่นั้น ฮ. UH-1H ของทอ.
ถูกยิงจากภาคพื้นดินตกบริเวณเขตอำเภอแม่อาย ขณะกำลังบินสนับสนุนเสบียง
นักบินนำเครื่องร่อนลงฉุกเฉินได้สำเร็จ ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ
เวลา
๑๙๓๐ ทั้งสองฝ่ายหยุดยิง (ไทยกับพม่า) แต่ยังมีเสียงการปะทะกันทางฝั่งพม่า
เนื่องจากฝ่ายพม่านำกำลังเสริมจากเก็งตุง มายังท่าขี้เหล็ก
และปะทะกับกองทัพรัฐฉานของเจ้ายอดศึก
ปืน
ใหญ่ทั้งสองฝ่ายดวลข้ามชายแดนกัน
และมีการโจมตีทางอากาศโดยเครื่องบินของกองทัพอากาศไทย
ที่ใช้เชียงใหม่เป็นฐานบินสำหรับปฏิบัติการครั้งนี้
และถือว่าเป็นปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ระหว่างวันที่ ๑๐ ถึง
๑๒ กุมภาพันธ์ เครื่องบินขับไล่ของไทยทำการบินรบกว่า ๗๐ เที่ยวบิน
รวมทั้งการโจมตีด้วยลูกระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ต่อฐานปืนใหญ่ของพม่าที่ตั้ง
ฐานอยู่ในสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งในท่าขี้เหล็ก
ปฏิบัติการครั้งนี้ประกอบด้วยเครื่องบินขับไล่ F-5F
หนึ่งเครื่องและเครื่องบินขับไล่ F-5E อีก ๓ เครื่อง เครื่องบิน F-5F
ติดกระเปาะ WSO ที่ผลิตในอิสราเอล ทำหน้าที่ชี้เป้า ส่วน F-5E อีก ๓
เครื่อง บินเข้าหาเป้าหมายจากทิศทางที่ต่างกัน
เข้าโจมตีด้วยระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ ขนาด ๒,๐๐๐ ปอนด์ ๖ ลูก
ลูกระเบิดเข้าสู่เป้าหมายทุกลูก
ปืนต่อสู้อากาศยานของพม่ายิงขึ้นมาสกัดกั้นอย่างเบาบาง
และไม่มีเครื่องบินของไทยเครื่องใดได้รับความเสียหาย
ไม่มีเครื่องบินกองทัพอากาศพม่าออกปฏิบัติการ
เครื่อง
บินขับไล่ F-5E/F ของไทยได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยในต้นปี ๒๕๓๓
โดยติดตั้งระบบนำร่องของ Litton และเสริมความแข็งแรงของไพล่อนกลางลำตัว
ให้สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ถึง ๑,๕๐๐ กก.,
และไพล่อนใต้ปิดด้านในรับน้ำหนักได้ถึง ๑,๐๐๐ กก./ด้านนอกรับน้ำหนักได้ ๕๐๐
กก. ระหว่างปฏิบัติการ F-5E แต่ละเครื่องบรรทุกลูกระเบิด LGB ๒ ลูก
ไม่
มีเครื่องบินของกองทัพอากาศพม่าออกปฏิบัติในช่วงที่มีการปะทะกันนี้
เพราะเครื่องบินขับไล่ F-7 ถูกส่งไปปรับปรุงที่อิสราเอล
ในข้อเท็จจริงช่วงนั้น ผู้นำทหารพม่าได้สั่งการให้หน่วยบิน F-7
สามหน่วยกระจายกำลังออกไป ซึ่งจะทำให้มีเครื่องบินขับไล่ F-7 ๓๐
เครื่องที่พร้อมปะทะกับฝ่ายไทย อย่างไรก็ตาม มีเพียง ๖
เครื่องที่ประจำอยู่ที่ฐานทัพอากาศ Kengtung
ที่อยู่ห่างจากท่าขี้เหล็กไปทางเหนือราว ๑๕๐ กม. ระยะทางบินขนาดนี้
ทำให้เครื่องบินขับไล่ F-7 ที่ติดอาวุธเต็มที่
หนักเกินกว่าที่จะทำการรบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้นจึงไม่มีวี่แววที่เครื่องบินขับไล่ F-7 จะมาสกัดกั้นเครื่องบิน F-5
ของไทย เครื่องบินของกองทัพอากาศพม่าที่เหลือได้แก่
เครื่องบินฝึกขั้นสูงแบบ PC-7 ๑๗ เครื่อง, PC-9 ๔ เครื่อง และเครื่องบินฝึก
G-4 Super Galeb อีก ๔ เครื่อง มีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่บินได้
เครื่องบินโจมตี A-5M ยิ่งมีสภาพต่ำยิ่งกว่าเครื่องบิน F-7 เสียอีก
การ
ป้องกันภัยทางอากาศของพม่ามีการซื้อจรวดต่อสู้อากาศยาน SA-16 จากบุลกาเรีย,
MiG-29 จากรัสเซีย ข่าวกรองรายงานว่า MiG-29
ที่พม่าซื้อไปเป็นเครื่องที่อิรัคสั่งซื้อแต่ยังไม่ส่งมอบ
เมื่อพิจารณาจากข่าวที่รายงานว่า นักบินพม่าได้รับการฝึกบินที่อินเดีย
ซึ่งคาดว่าการเตรียมบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ช่างเครื่อง
คงจะต้องรับการฝึกจากอินเดียเช่นกัน
การ
ปะทะกันของทั้งสองฝ่ายจบลงด้วยการเจรจา โดยทั้งสองฝ่ายต่างเสริมกำลัง
ในกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ ฝ่ายไทยมีกำลังของกองพลทหารม้าที่ ๑
และส่วนแยกของกองพลทหารม้าที่ ๒ ที่มีรถถัง M-41, รถถัง Stingray
และยานเกราะ V-150 วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ทอ.ส่ง F-16
ไปเสริมกำลังที่ฐานบินเชียงใหม่ ทำหน้าที่บินลาดตระเวนรบตามแนวชายแดน
วันที่ ๑๐ พฤษภาคม F-16 ของไทยโจมตีเป้าหมายที่ Kyauket ในเขตรัฐฉาน
ทางการพม่าได้ประท้วงทางการไทยในกรณีดังกล่าว
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น