You can replace this text by going to "Layout" and then "Edit HTML" section. A welcome message will look lovely here.
RSS

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

พท.ณรงค์เดช โพธิ์นันธิเดช


Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พลเอก ประยุทธิ์ จันทร์โอชา เหยื่อคนสุดท้ายของแผนเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล ของกษัตริ์ภูมิพล

พลเอก ประยุทธิ์ จันทร์โอชา เหยื่อคนสุดท้ายของแผนเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล ของกษัตริ์ภูมิพล
by... ออกญา เพชรบุรี

กษัตริย์ภูมิพลเป็นคนที่ฉลาดและเจ้าเลห์อย่างร้ายกาจ รู้วิธีหลอกใช้คน และชิงลงมือก่อนกับคนที่เห็นว่าจะเป็นอันตรายกับตน
แผนเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล ถูกกษัตริย์ภูมิพลใช้มาตลอดตั้งแต่ขึ้นครองราชย์จนมาถึงปลายรัชกาล
เหยื่อคนแรกที่ถูกกำจัดหลังเสร็จศึกคือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่เป็นเครื่องมือให้กับกษัตริย์ภูมิพลในการ กำจัดนายปรีดี พนมยงค์ แกนนำคนสำคัญของคณะราษฎร ที่โค่นล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ซึ่งภูมิพลถือว่าเป็นศตรูกับราชวงศ์จักรี
เมื่อกำจัดนายปรีดี พนมยงค์ ได้สำเร็จ กษัตริย์ภูมิพลก็สนับสนุนจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ให้ยึดอำนาจจากจอมพล ป.พิบูลสงคราม ทำให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม ต้องลี้ภัยและไปเสียชีวิตในต่างประเทศ
จากนั้นเมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีอำนาจมาก ทำให้กษัตริย์ภูมิพลหวั่นเกรงว่าจะชิงอำนาจจากตน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงถูกวางยาพิษเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ และจอมพลถนอม กิติขจร ที่ขึ้นครองอำนาจต่อมา ก็ถูกกษัตริย์ภูมิพลใช้ให้ยึดทรัพย์จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แบบตัดรากถอนโคน
ต่อมาเมื่อจอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร และ พอ.ณรงค์ กิตติขจร มีอำนาจล้นประเทศ ควบคุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ จนกษัตริย์ภูมิพลหวั่นเกรงอีกว่าจะโค่นล้มตน เพราะมีข่าวว่า พอ.ณรงค์ กิติขจร เมาสุราแล้วเผลอพูดว่าจะเป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศไทย
แต่แผนกำจัดสองจอมพลหนึ่งพันเอก ทำได้ยาก จะใช้แผนวางยาพิษเหมือนเดิม ทางสองจอมพลหนึ่งพันเอก ก็มีความระมัดระวังตัวอย่างสูง จะใช้กองทัพก็ไม่ได้เพราะสองจอมพลคุมอำนาจอยู่
ดังนั้นแผน 14 ตุลาคม 2516 อาศัยพลังนักศึกษาโค่นล้มสองจอมพลและหนึ่งพันเอกจึงเกิดขึ้น และกษัตริย์ภูมิพลก็ทำสำเร็จ จนสามารถขุดรากถอนโคน ตระกูลกิตติขจร และจารุเสฐียร ด้วยการยึดทรัพย์
จากนั้นนักศึกษาและประชาชน ที่เป็นวีรบุรุษอยู่ในช่วงสั้นๆ ก็ถูกกำจัด กลายเป็นโคถึกที่ถูกฆ่าหลังเสร็จนาในวันที่ 6 ตุลาคม ปี 2519 ทำให้กษัตริย์ภูมิพลนั่งครองบัลลังก์อย่างปลอดภัย
ต่อมากษัติย์ภูมิพลก็หลอกใช้กลุ่มนายทหาร จปร.รุ่น 5 ปราบปรามกลุ่ม จปร.รุ่น 7 ในเหตุการณ์ยึดอำนาจ เมษาฮาวาย ปี 2524 และต่อมากษัตริย์ภูมิพลก็หลอกใช้ กลุ่มนายทหาร จปร.รุ่น 7 ให้ปราบ กลุ่มนายทหาร จปร.5 ที่เริ่มจะมีอำนาจมาก ในเหตุการณ์เดือนพฤษภาทมิฬ ปี 2535
เป็นอันจบยุคทหารที่จะยึดอำนาจจากกษัตริย์ ทำให้กษัตริย์ภูมิพลครองบัลลังก์อย่างปลอดโปร่งอีกครั้งหนึ่ง

จนเมื่อโลกพัฒนาเข้าสู่ยุคทุนโลกาภิวัตน์ โดยการเกิดขึ้นของพรรคไทยรักไทย และพตท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้กษัตริย์รู้สึกไม่ปลอดภัยอีกครั้ง ดังนั้นกษัตริย์ภูมิพลจึงชิงลงมือก่อน อย่างที่เคยทำมาและสำเร็จมาโดยตลอด เช่นการวางระเบิดเครื่องบินลำที่ พตท.ทักษิณ ชินวัตร จะใช้เดินทางไปจังหวัดน่าน รวมทั้งแผนการลอบยิงด้วยสไนท์เปอร์ 5 ครั้ง และแผนวางระเบิดขบวนรถของ พตท.ทักษิณ ชินวัตร ที่บางพลัด ก็เป็นฝีมือของทีมงานกษัตริย์ภูมิพลทั้งสิ้น แต่แผนจากคนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต ทำให้ พตท.ทักษิณ ชินวัตร รอดตายมาได้อย่างโชคช่วยทุกครั้ง
เมื่อแผนลอบสังหารไม่สำเร็จ แผนใช้มวลชนกดดันสร้างความปั่นป่วน โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล จึงเกิดขึ้น จนเมื่อสร้างความปั่นป่วนได้เต็มที่แล้ว ขุนพลที่ชื่อ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ก็ถูกกษัตริย์ภูมิพลหลอกใช้ให้ออกศึก ด้วยการยึดอำนาจจากรัฐบาลพตท.ทักษิณ ชินวัตร ได้สำเร็จในวันที่ 19 กันยายน ปี 2549 ต่อมาเมื่อ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เกษียณอายุราชการหมดประโยชน์ในการใช้สอย พลเอกสนธิ ก็ต้องกลายเป็นขุนพลที่ถูกทอดทิ้ง และเป็นหมาหัวเน่าอยู่จนทุกวันนี้

และถึงแม้ว่ากษัตริย์ภูมิพลจะหลอกใช้ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจได้สำเร็จ แต่ก็ไม่สามารถขุดรากถอนโคน พตท.ทักษิณ ชินวัตรได้ ทำให้กษัตริย์ภูมิพลต้องมองหาขุนพลคนใหม่เพื่อหลอกใช้งานอีกครั้งหนึ่ง และขุนพลคนใหม่ที่กำลังสดอยู่ในขณะนี้ก็คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และมันกำลังจะซ้ำรอยอดีตขุนพลทั้งหลาย ที่ถูกกษัตริย์ภูมิพลหลอกใช้และและฆ่าหลังเสร็จศึก พลเอกประยุทธิ์ จันทร์โอชา คงจะเป็นขุนพลคนสุดท้าย ที่กษัตริย์ภูมิพลหลอกใช้ เพราะกษัตริย์ภูมิพลคงไม่มีอายุยืนยาวให้หลอกใครได้อีกแล้ว
ดังนั้นเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ขุนพลคนอื่นๆที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องรู้ว่าตนถูกหลอกใช้ให้โค่นล้มใครในครั้งนี้ พตท.ทักษิณ ชินวัตร หรือ สมเด็จพระบรมฯ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วพตท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นเพียงเป้าหมายรอง แต่พระบรมฯ ลูกชายของกษัตริย์ภูมิพลเอง เป็นเป้าหมายหลักที่จะโค่นล้ม แต่กษัตริย์ภูมิพลไม่กล้าปลดลูกชายของตนเอง แต่หลอกใช้ให้พลเอกประยุทธิ์ ยึดอำนาจแทน
จากแผนสร้างความปั่นป่วนทั่วประเทศเพื่อใช้เป็นเงื่อนไข ให้พลเอกประยุทธิ์ ยึดอำนาจ พลเอกประยุทธิ์ จึงไม่ควรยอมให้กษัตริย์เฒ่าเจ้าเลห์ใช้เป็นเครื่องมือแล้วถูกกำจัดทิ้ง เหมือนขุนพลคนอื่นๆในอดีต

ดังนั้น พลเอกประยุทธิ์ ควรจะกระทำการดังต่อไปนี้ คือ .-
1.พลเอกประยุทธิ์ ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีเอง และต้องควบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกด้วย อย่ายอมให้กษัตริย์ภูมิพลตั้งคนอื่นเหมือนคราวก่อนที่หลอกใช้พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจแล้วให้ พลเอกสุรยุทธิ์ จุลานนท์ มาเป็นนายก
2.พลเอกประยุทธิ์ จะต้องต่ออายุราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกต่อไป จนกว่าพลโทปรีชา จันทร์โอชา น้องชายจะก้าวขึ้นมาเป็น ผู้บัญชาการทหารบก แล้วจึงขยับตัวเองขึ้นไปเป็น ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
3. การเลือกตั้ง สส.และ สว. ต้องเว้นวรรคสัก 5 ปี โดยตั้งสภา คสช.แทน และพลเอกประยุทธิ์ ก็ควบทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และประธาน คสช.คนเดียวเสียเลย ทั้งนี้เพื่อมีอำนาจเบ็ดเสร็จ
4. พลเอกประยุทธิ์ ต้องต่อรองกับกษัตริย์ภูมิพลขอติดยศเป็น จอมพลป. จันทร์โอชา เพื่อเพิ่มบารมี
5. ธรรมนูญการปกครองที่จะร่างขึ้นมาใช้ ควรมีมาตรา 17 เหมือนสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จะได้มีอำนาจเด็จขาดในการตัดสินคดีได้สะใจพวกซาดิสต์

ขอให้ ฯพณฯท่าน จอมพล ป. จันทร์โอชา จงทรงพระเจริญ
http://goo.gl/0iDnhF

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การไล่ล่าคนงานเขมร

ใจ อึ๊งภากรณ์
6A939D5F-C696-4335-BEF0-2D967C41C81E_w640_r1_s_cx0_cy7_cw0

การไล่ล่าคนงานเขมรกับพม่าขัดกับผลประโยชน์คนไทยส่วนใหญ่

ขณะนี้เผด็จการทหารฝ่ายขวาของประยุทธ์ กำลังใช้แนวชาตินิยมสุดขั้วและการสร้างกระแสเกลียดชังประชาชนจากเพื่อนบ้าน เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นและกดขี่คนไทยส่วนใหญ่ให้เป็นทาสรับใช้ทหารและชนชั้นปกครอง
นอกจากการขับไล่เพื่อนแรงงานจากเขมรและพม่าจะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยแล้ว มันยังมีผลกระทบกับความเข้มแข้งของขบวนการแรงงานและขบวนการประชาธิปไตย
ในแง่เศรษฐกิจ ธุรกิจไทยในทุกระดับขาดแคลนแรงงานค่าจ้างต่ำในงานสกปรกและยากลำบาก ซึ่งมิตรสหายจากเพื่อนบ้านได้เข้ามาทำงานในส่วนนี้ ถ้าเค้าขาดหายไปเศรษฐกิจไทยก็จะขยายตัวช้าลง ซึ่งจะมีผลกระทบกับคนไทยธรรมดาจำนวนมาก
ในแง่ของความตอแหลเราต้องถามว่าในบ้านเรือนของนายพล และ พวกคณะทหาร รวมถึงชนชั้นกลางที่เชียรทหาร มีการใช้และเอาเปรียบคนเขมรหรือคนพม่ามากน้อยเพียงไร
ในแง่ของการปลุกระดมให้คนไทยคลั่งชาติ ไม่ว่าจะด้วยภาพยนตร์นเรศวรหรือการสร้างกระแสเกลียดชังคนงานจากประเทศรอบข้าง มันเป็นความพยายามอันน่าสมเพชของประยุทธ์ และ พรรคพวก ที่หวังเบี่ยงเบนความคิดของคนส่วนใหญ่ไปจากการคิดเรื่องรัฐประหารและการขโมยประชาธิปไตย ไปสู่การหมอบคลานต่อชนชั้นปกครองและทหาร
แต่คณะทหารและนักธุรกิจที่สนับสนุนเผด็จการไม่ใช่พวกเดียวกับเรา ทั้งๆ ที่เขามีสัญชาติไทย ในอดีตถึงปัจจุบันเผด็จการอาศัยอำนาจเพื่อกอบโกยทรัพย์สินส่วนรวมเข้ากระเป๋าตัวเอง และพวกนายทุนก็อาศัยเผด็จการในการกดค่าแรงและสวัสดิการของคนทำงาน อย่าลืมว่าฝ่ายอำมาตย์ เกลียดชังทักษิณ เพราะทักษิณ นำนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่มาใช้ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเราต้องเชียร์ทักษิณ แบบไม่เลือกคิดเอง
ในเมือทหารและอำมาตย์เป็นศัตรูของคนไทยส่วนใหญ่ คนธรรมดาผู้ทำงานทั่วโลกเป็นมิตรของเรา ซึ่งรวมถึงแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านด้วย
มาตรการโหดร้ายทารุณ ของเผด็จการทหารต่อแรงงานพม่าและเขมร คงไม่ทำให้คนเหล่านั้นไม่กลับมาทำงานในไทย เพียงแต่เค้าจะเข้ามาในลักษณะผิดกฎหมาย และ ขาดความมั่นคงมากขึ้น สถานการณ์แบบนี้จะอำนวยให้พวกนายจ้างกินเลือด ตำรวจ และทหารสามารถเอารัดเอาเปรียบเพื่อนๆ ของเราได้มากขึ้น
การสร้างกระแสความเกรงกลัวในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปราบแรงงานข้ามชาติ หรือ การเรียกพลเมืองผู้รักประชาธิปไตยเข้าไปรายงานตัวต่อทหาร เป็นเรื่องเดียวกัน
ถ้าคนงานไทยหรือประชาชนทั่วไป ถูกคณะทหารหลอกให้คล้อยตามแนวชาตินิยมก็จะทำให้เราเพียงแต่เป็นทาส

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

สังคมนิยมคือประชาธิปไตยแท้ที่พึงปรารถนา


ความ “เท่าเทียม” ของสังคมนิยม ไม่ใช่สิ่งเดียวกับ “ความเหมือนกัน” เพราะสังคมนิยมจะเปิดโอกาสให้เราทุกคนมีเสรีภาพที่จะเป็นปัจเจกเต็มที่ มันเปิดโอกาสให้เรามีนิสัยใจคอ วิถีชีวิต และรสนิยมตามใจชอบ แทนที่จะต้องแต่งเครื่องแบบ ถูกบังคับให้ทำงานเหมือนหุ่นยนต์ และมีวิถีชีวิตในกรอบศีลธรรมและรสนิยมของชนชั้นปกครอง

โดย ใจ อึ๊งภากรณ์

สังคมนิยม คือวิธีการจัดการบริหารสังคมมนุษย์โดยเน้นความร่วมมือกันระหว่างพลเมือง เน้นความสมานฉันท์และเน้นความเท่าเทียมกัน แทนที่จะเน้นการแย่งชิงกัน หรือการเอารัดเอาเปรียบกัน ตามระบบความคิด “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” ของทุนนิยมตลาดเสรี
    
สังคมนิยม เป็นระบบที่ไม่มีชนชั้น คือไม่มีเจ้านายและผู้ถูกปกครอง ไม่มีคนส่วนน้อยที่ครอบครองทรัพยากรเกือบทั้งหมดในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่มี อะไรนอกจากการทำงานเพื่อคนอื่น มันเป็นระบบที่ยกเลิกนายทุนและลูกจ้าง และที่สำคัญคือเป็นระบบที่มนุษย์จะสามารถพัฒนาตนเองได้เต็มที่ แทนที่จะถูกจำกัดอยู่ในกรอบ สังคมนิยมคือสภาพมนุษย์ที่เป็นปัจเจกเสรีในระดับสูงสุดผ่านกระบวนการร่วมมือ กับทุกคนในสังคม
    
ใน ระบบทุนนิยม ถ้าเรามีประชาธิปไตย มันก็แค่ประชาธิปไตยครึ่งใบเท่านั้น เพราะถึงแม้ว่าเราอาจมีโอกาสลงคะแนนเสียงเลือกรัฐบาล หรืออาจมีเสรีภาพในการแสดงออกบ้าง แต่เราไม่มีสิทธิ์ในการออกแบบและควบคุมเศรษฐกิจ เพราะเศรษฐกิจ การลงทุน และการผลิตถูกควบคุมโดยนายทุนในรูปแบบการผูกขาดอำนาจ และเราไม่มีโอกาสร่วมในการปกครองตนเอง เพราะเรายังมีคนมาปกครองเราภายใต้ระบบชนชั้น ในระบบทุนนิยมนี้ แม้แต่ในประเทศที่ไม่มีกฏหมายเผด็จการแบบ 112 ที่จำกัดเสรีภาพในการแสดงออก ก็ยังมีข้อจำกัดอื่นเช่นประเด็นว่าใครครองสื่อมวลชนเป็นต้น ดังนั้นสิทธิในการแสดงออกของคนธรรมดากับนายทุนสื่อต่างกันในรูปธรรม

ใน สังคมปัจจุบันเราไม่มีโอกาสเลือกว่าเราจะ “เป็นใคร” หรือ “เป็นอะไร” อย่างเสรี เพราะเราต้องไปหางานภายใต้เงื่อนไขนายทุน เด็กถูกแยกและคัดเลือกตั้งแต่อายุยังน้อยว่าจะเป็น “ผู้ประสพความสำเร็จ” หรือเป็น “ผู้ไม่สำเร็จ” และเกือบทุกครั้งมันขึ้นอยู่กับว่าเด็กนั้นเกิดในตระกูลไหน มนุษย์จำนวนมากจึงไม่สามารถพัฒนาตนเองได้เต็มที่ท่ามกลางความหลากหลายเลย
    
ความ “เท่าเทียม” ของสังคมนิยม ไม่ใช่สิ่งเดียวกับ “ความเหมือนกัน” เพราะสังคมนิยมจะเปิดโอกาสให้เราทุกคนมีเสรีภาพที่จะเป็นปัจเจกเต็มที่ มันเปิดโอกาสให้เรามีนิสัยใจคอ วิถีชีวิต และรสนิยมตามใจชอบ แทนที่จะต้องแต่งเครื่องแบบ ถูกบังคับให้ทำงานเหมือนหุ่นยนต์ และมีวิถีชีวิตในกรอบศีลธรรมและรสนิยมของชนชั้นปกครอง

นัก สังคมนิยมชื่อดัง เช่น คาร์ล มาร์คซ์ หรือ ลีออน ตรอทสกี้ เคยวาดภาพว่าภายใต้สังคมนิยมเราจะสามารถเป็นศิลปินหรือนักวิทยาศาสตร์ตอน เช้า และเป็นช่างฝีมือหรือนักกิฬาตอนบ่ายได้ ชีวิตแบบนั้นจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานโดยสิ้นเชิง เพราะเดิมมนุษย์รักการทำงานที่สร้างสรรค์ แต่พอเราตกอยู่ในสังคมชนชั้น งานกลายเป็นเรื่องซ้ำซากน่าเบื่อภายใต้คำสั่งของคนอื่น งานในระบบสังคมนิยมจะเป็นสิ่งที่เราอยากทำเพราะมันจะทำให้เรามีความสุขและ รู้สึกว่าเรามีผลงานที่น่ายกย่อง
    
แน่ นอนงานบางอย่างคงไม่มีวันสนุก เช่นการซักผ้า เก็บขยะ หรือการทำความสะอาดส้วม แต่งานแบบนั้นเราใช้เครื่องจักรมาทำแทนได้บ้าง และที่ต้องอาศัยมนุษย์ก็ผลัดกันทำ ไม่ใช่ว่ามีบางคนในสังคมที่ต้องทำงานแบบนี้ตลอดชีพ

สังคมนิยม คือระบบที่เราร่วมกันผลิตสิ่งที่เพื่อนมนุษย์ต้องการ และเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการดังกล่าว จะใช้ระบบการทำงานของทุกคนตามความสามารถของแต่ละคน แต่ในระบบทุนนิยมมันมีการผลิตเพื่อกำไรของนายทุนอย่างเดียว ดังนั้นเมื่อกำไรลดลง ก็จะเลิกผลิต ทั้งๆ ที่คนยังต้องการสินค้ามากมาย มันจึงเกิดวิกฤตแห่งการผลิต “ล้นเกิน” ท่ามกลางความอดอยากเสมอ ทุนนิยมนี้ไร้ประสิทธิภาพจริงๆ
    
สังคมนิยม จะเป็นระบบการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าระบบทุนนิยม เพราะมีการวางแผนการผลิต ผ่านระบบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมของพลเมือง ไม่ใช่นายทุนแข่งกันผลิตเพื่อเอาชนะอีกฝ่ายจนเกิดการล่มจมและปิดโรงงานหรือ เลิกจ้าง อย่างที่เราเห็นทั่วโลกตอนนี้ และสังคมนิยมจะไม่เปลืองทรัพยากรโดยการโฆษณาให้พลเมืองซื้อสิ่งที่ไม่ต้อง การหรือไม่จำเป็น ยิ่งกว่านั้นถ้าเรากำจัดการแข่งขันแบบตลาด ซึ่งเป็นแค่ระบบ “ตัวใครตัวมัน” เราจะกำจัดความจำเป็นของการทำสงครามและประหยัดงบประมาณทหารมหาศาล การจัดการบริการประชาชนในปริมาณระดับคนหมู่มาก จะยิ่งประหยัดค่าใช้จ่ายอีก เรามั่นใจตรงนี้ได้เพราะระบบสาธารณสุขและการศึกษาแบบ “ถ้วนหน้า” ในระบบทุนนิยมที่มีรัฐสวัสดิการ เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการบริการประชาชนผ่านบริษัทเอกชนหลายบริษัท และพลเมืองจะสามารถควบคุมคุณภาพ และออกแบบระบบการบริการที่ต้องการได้อีกด้วย ผ่าน “สภาประชาชน” ในระดับที่ทำงาน ท้องถิ่น หรือภูมิภาค
    
สภา ประชาชนที่ว่านี้ เคยถูกออกแบบมาโดยคนทำงานธรรมดาในคอมมูนปารีส หรือหลังการปฏิวัติรัสเซีย มันเป็นสภาที่เราถอดถอนผู้แทนที่เราเลือกมาได้ทุกเมื่อ เพื่อควบคุมเขาอย่างเต็มที่ มันเป็นระบบที่มีเขตการเลือกตั้งในสถานที่ทำงาน เพื่อควบคุมทั้งเศรษฐกิจและการเมืองพร้อมๆ กัน และมันเป็นสภาที่ผู้แทนไม่ใช่อภิสิทธิ์ชน ไม่กินเงินเดือนมากกว่าคนธรรมดา ต่างจากรัฐสภาในระบบทุนนิยมโดยสิ้นเชิง
    
ใน ระบบสังคมนิยมเราจะขยันลบล้างความคิดล้าหลังในหมู่พลเมือง ที่นำไปสู่การดูถูกสตรี เกย์ ทอม ดี้ คนต่างชาติ หรือคนกลุ่มน้อย และมนุษย์จะสามารถรักกันด้วยหัวใจ แทนที่จะรักกันภายใต้เงื่อนไขของเงินหรือศีลธรรมจอมปลอม
    
ระบบ ทุนนิยมตีค่าสิ่งแวดล้อมในโลกไม่ได้ เพราะจะมองแค่กำไรเฉพาะหน้าเสมอ นี่คือสาเหตุที่สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ และเรามีปัญหาโลกร้อน และที่น่าสังเกตุคือคนที่คัดค้านการแก้ปัญหาโลกร้อนมากที่สุดในปัจจุบัน คือพวกกลุ่มทุนใหญ่และรัฐบาลของเขา โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ในระบบสังคมนิยมเราจะให้คุณค่ากับการปกป้องโลกรอบตัวเรา โดยไม่คิดเป็นเงินๆ ทองๆ และนอกจากนี้เราจะให้คุณค่ากับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน โดยไม่ตีเป็นราคาเงินบาทหรือดอลล่าเลย เพราะบางอย่างมันมีค่ามากกว่าเงิน
    
คงจะมีคนล้าหลังหดหู่ที่พูดเหมือนแผ่นเสียงตกร่องว่า “มันเป็นแค่ความฝัน มันอุดมการณ์เกินไป” แต่เรามีคำตอบหลายประการ
    
ใน ประการแรกสังคมนิยมไม่ใช่ “สวรรค์” เพราะมันจะไม่แก้ปัญหาทุกอย่างในสังคมมนุษย์ แต่มันจะเป็นการสร้างเสรีภาพ ความเท่าเทียม และความอยู่ดีกินดี เราคงต้องลองถูกลองผิดไปเรื่อยๆ แต่อย่างน้อยมันเป็นจุดเริ่มต้น
    
ใน ประการที่สองสังคมนิยมสร้างขึ้นได้เมื่อมนุษย์ส่วนใหญ่ค่อยๆ เปลี่ยนความคิดจากความคิดคับแคบที่มาจากการกล่อมเกลาในระบบทุนนิยม นี่คือสาเหตุที่ คาร์ล มาร์คซ์ เสนอว่าเราต้องปฏิวัติ เพราะการปฏิวัติล้มรัฐนายทุน จะเป็นโอกาสทองที่เราจะร่วมกัน “ล้างขยะแห่งประวัติศาสตร์ออกจากหัวเรา”
    
ใน ประการที่สาม เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์มนุษย์ ตั้งแต่เราวิวัฒนาการมาจากลิง เราจะพบว่าประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของเราเป็นประวัติของสังคมที่ไม่มีชนชั้น คือเราร่วมมือกันเต็มที่ ทุนนิยมเองก็พึ่งมีมาสองร้อยกว่าปีเอง ในขณะที่มนุษย์อยู่บนโลกมานานถึงสองแสนห้าหมื่นปี และแม้แต่ในสังคมปัจจุบัน เราก็เห็นตัวอย่างของการร่วมมือกันหรือความสมานฉันท์เสมอ สังคมนิยมใกล้เคียงกับ “ธรรมชาติมนุษย์” มากกว่าความเห็นแก่ตัวของทุนนิยม
    
อย่าง ไรก็ตามสังคมบุพกาลที่ไม่มีชนชั้นในอดีต ล้วนแต่เป็นสังคมที่มีความขาดแคลน มันจึงเป็นสังคมเท่าเทียมท่ามกลางความยากจน แต่ปัจจุบันเรามีความสามารถที่จะตอบสนองความต้องการของมนุษย์ทุกคน เพื่อให้เรามีชีวิตที่ดีและสบายได้ สังคมนิยมจึงต้องอาศัยความก้าวหน้าที่เคยเกิดขึ้นในสังคมชนชั้น โดยเฉพาะระบบทุนนิยม แต่ทุนนิยมมันไม่ดีพอ เพราะมันไม่สามารถแจกจ่ายทรัพยากรให้ทุกคนได้ และมันเกิดวิกฤตและสงครามเป็นประจำ มันเหมือนกับว่ามนุษย์สร้างหัวจักรรถไฟที่มีพลังมหาศาลขึ้นมา แล้วขับรถไฟไม่เป็น เพราะคนขับคือนายทุนที่มีวัตถุประสงค์อื่น มันเลยตกรางเป็นประจำหรือชนกับรถไฟอื่น สังคมนิยมจะเปิดโอกาสให้เราทุกคนขับรถไฟได้อย่างปลอดภัย
    
พวก ล้าหลังจำนวนมากชอบพูดว่า “สังคมนิยมล้าสมัย” แต่ระบบทุนนิยมเก่ากว่าความคิดสังคมนิยม ถ้าอะไรล้าหลังก็คงต้องเป็นทุนนิยม และยิ่งกว่านั้นการบูชาสังคมชนชั้นที่เต็มไปด้วยการกดขี่มันเป็นเรื่องโบราณ และอดีต ในขณะที่การเสนอสังคมใหม่ที่เสรีและเท่าเทียมเป็นการมองอนาคต
    
ใน ประการที่สี่ สังคมนิยมคือความใฝ่ฝันของมนุษย์ ซึ่งในอดีตมนุษย์ที่เป็นทาสเคยฝันว่าจะมีเสรีภาพ มนุษย์ที่เป็นไพร่เคยฝันว่าจะมีสิทธิ์เลือกตั้ง สตรีเคยฝันว่าจะเท่าเทียมกับชาย และสิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นจริงในโลกเรา แต่ถ้าเรามัวแต่ฟังพวก “กาดำหดหู่” ที่บอกว่ามัน “อุดมกาณ์เกินไป” ความก้าวหน้าของสังคมมนุษย์ไม่มีวันเกิด
    
ใน ประการที่ห้า สังคมนิยมคือเป้าหมายในจิตใจคนที่รักเสรีภาพและความเท่าเทียม แต่มันไม่เกิดง่ายๆ นักสังคมนิยมไม่เคยหลอกตัวเองว่าถ้านั่งอ่านหนังสือที่บ้านมันจะเกิดโดย อัตโนมัติ เราต้องขยันสร้างเครื่องมือที่จะล้มอำนาจเผด็จการของรัฐทุนนิยม เพื่อสร้างรัฐใหม่ของคนทำงานเครื่องมือนั้นคือพรรคปฏิวัติสังคมนิยม สหภาพแรงงาน และขบวนการเคลื่อนไหวของมวลชน เราต้องมีสื่อของเรา เราต้องขยายสมาชิกพรรค เราต้องฝึกฝนการต่อสู้ซึ่งแน่นอนจะมีทั้งแพ้และชนะ มีทั้งการก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและถอยหลังสองก้าว
    
ใน ประการที่หก สังคมนิยมคือระบบที่เน้นวิทยาศาสตร์และความคิด “วัตถุนิยม” ที่ติดดินและเป็นรูปธรรม แต่ระบบทุนนิยมเป็นระบบที่เต็มไปด้วยไสยศาสตร์ และความเชื่อเพี้ยนๆ เช่นเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของคนบางคน และมันเต็มไปด้วยการพยายามหลอกให้ประชาชนส่วนใหญ่กระทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับ ผลประโยชน์ของเขา เช่นการยอมรับการกดขี่ขูดรีด หรือการคลั่งชาติที่นำไปสู่การฆ่ากันเองของคนจนเป็นต้น ถึงแม้ว่าทุนนิยมเป็นระบบที่เคยถูกสร้างขึ้นมาบนความคิดวิทยาศาสตร์ แต่เนื่องจากมันเป็นระบบที่อำนาจอยู่ในมือคนส่วนน้อย การปกป้องทุนนิยมในยุคปัจจุบันกระทำบนพื้นฐานความเพ้อฝันและการหลอกลวง มันเป็นการฝันร้ายของมนุษย์
    
นอก จากนี้จะมีคนที่คิดว่าตนเองเป็น “ผู้รู้” และมาบอกว่า “สังคมนิยมสร้างไม่ได้” เพราะมันล้มเหลวที่รัสเซีย ยุโรปตะวันออก เวียดนาม ลาว หรือจีน และแถมมันเป็นเผด็จการด้วย ใช่ระบบการปกครองและระบบเศรษฐกิจที่เคยมีหรือยังมีอยู่ในประเทศเหล่านั้น มันเป็นเผด็จการที่ไม่มีเสรีภาพ และยิ่งกว่านั้นมันไม่มีความเท่าเทียมด้วย มันเป็นระบบชนชั้นที่กดขี่ขูดรีดพลเมืองในนามของ “สังคมนิยม” โดยพรรคคอมมิวนิสต์ แต่เมื่อเราวิเคราะห์ที่มาที่ไปของระบบเหล่านี้ จะพบว่ามันเกิดขึ้นครั้งแรกในรัสเซียบนความพ่ายแพ้และซากศพของการปฏิวัติ หลังจากที่เลนินเสียชีวิต มันเป็นการสร้าง “ทุนนิยมโดยรัฐ” โดยสตาลิน และในประเทศอื่นๆ หลังจากนั้นก็ลอกแบบกันมา ในจีนมันเป็นการปฏิวัติชาตินิยมของพรรคเผด็จการ และถ้าเราเปรียบเทียบบางเรื่องที่เห็นในเกาหลีเหนือทุกวันนี้ เราจะพบว่าคล้ายๆ ทุนนิยมตลาดเสรีของประเทศไทยอีกด้วยการวิเคราะห์ว่าระบบ “สตาลิน-เหมา” ตรงข้ามกับสังคมนิยม ไม่ใช่สิ่งที่พึ่งพบหลังมันล่มสลาย แต่เป็นการวิเคราะห์ของนักมาร์คซิสต์อย่าง ลีออน ตรอทสกี หรือโทนนี่ คลิฟ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
    
บาง คนอาจมองว่าไม่อยากปฏิวัติล้มทุนนิยม เขาจะ(เพ้อ)ฝันว่าทุนนิยมปฏิรูปให้น่ารักได้ เช่นการมีระบบรัฐสวัสดิการในสแกนดิเนเวียหรืออังกฤษเป็นต้น แต่เราต้องเปิดหูเปิดตาดูว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในประเทศเหล่านั้น เพราะวิกฤตของระบบทุนนิยมโลกในปัจจุบันกำลังกดดันให้รัฐบบาลทุกพรรคเอาใจนาย ทุนเพื่อเพิ่มอัตรากำไร มันแปลว่ารัฐสวัสดิการกำลังถูกทำลายลง สภาพความเป็นอยู่ของพลเมืองแย่ลง และมีการชักชวนให้คนทำงานตีกันเองด้วยลัทธิเหยียดเชื้อชาติ จนในบางประเทศพรรคฟาสซิสต์ก็ขึ้นมามีบทบาทอีก เหมือนหลังวิกฤตที่เกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
    
ทั้ง หมดนี้คือสาเหตุที่สังคมนิยมคือประชาธิปไตยแท้ที่พึงปรารถนา และผมอยากจะชักชวนให้ท่านผู้อ่านร่วมกับเราในองค์กรเลี้ยวซ้าย เพื่อสร้างสร้างสังคมนิยม

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สี่นิยายเรื่อง ๒๔๗๕

สี่นิยายเรื่อง ๒๔๗๕
ใจ อึ๊งภากรณ์
2475 ราษฎร
1. การปฏิวัติ ๒๔๗๕ เป็นการ ชิงสุกก่อนห่าม
พวกที่เชื่อนิยายนี้มองว่าประชาชนไทยไม่พร้อมที่จะมีประชาธิปไตย ประยุทธ์กับสลิ่มปฏิกูลก็คงมองแบบนี้เช่นกัน แนวคิดนี้เริ่มต้นจากความเชื่อว่าประชาชนธรรมดาไร้การศึกษาและโง่ แน่นอนผู้ที่ตั้งข้อกล่าวหาดังกล่าวถือว่าตนเองเป็นผู้ที่ฉลาดกว่าพวกคนชั้นต่ำทั้งหลายเสมอ และเรามักจะได้ยินคำกล่าวหาจากสำนักนี้ว่าสาเหตุที่ระบบประชาธิปไตยไทยในปัจจุบันมีการทุจริตซื้อขายเสียงก็เพราะคนยากคนจนขาดการศึกษา แต่แท้ที่จริง การศึกษากับความฉลาดไม่ใช่สิ่งเดียวกัน และการทุจริตกับการซื้อเสียงเป็นสิ่งที่นักการเมืองไทยทุกพรรคเป็นผู้ริเริ่มทำกันเอง หลัง ๒๔๗๕
ความจริงแล้วถ้าเราพิจารณาการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองไปสู่ระบบรัฐธรรมนูญ ในปี ๒๔๗๕แทนที่จะยังไม่ถึงยุคสุกงอม ต้องถือว่าไทยล้าหลังประเทศอื่นพอสมควรเพราะแม้แต่ประเทศจีนก็ปฏิวัติยกเลิกระบบจักรพรรดิไปแล้ว 21 ปีก่อนการปฏิวัติในไทย
เหล่าประชาชนไทยในยุคก่อน ๒๔๗๕ เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะก่อนหน้านั้นมีการตีพิมพ์บทความและเสนอฎีกาความเห็นจากประชาชนคนสามัญมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของวิกฤตเศรษฐกิจทุนนิยมที่มีผลกระทบต่อชีวิตประชาชนในสมัยนั้นและความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลกษัตริย์ในการแก้วิกฤตดังกล่าว
จะเห็นว่า กระแสความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองมีรากฐานสำคัญส่วนหนึ่งจากปัญหาเศรษฐกิจยุคในวิกฤตทุนนิยมครั้งยิ่งใหญ่ ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๒ และ ๒๔๗๔ ราคาข้าวในตลาดที่ชาวนาไทยได้รับ ลดต่ำลงอย่างน่ากลัวถึง 60%  ค่าจ้างเฉลี่ยในชนบทถูกลด 50% และสภาพชีวิตของประชาชนโดยทั่วไปย่ำแย่ ส่วนในเมืองค่าแรงของกรรมาชีพถูกกดลง 20% ระหว่างปี ๒๔๗๔ ถึง ๒๔๗๕  และรัฐบาลได้ประกาศลดเงินเดือนและจำนวนข้าราชการ มีการประกาศขึ้นภาษีกับสามัญชนในขณะที่เจ้าที่ดินและนักธุรกิจที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลไม่ต้องมีภาระเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

2. ปรีดี พนมยงค์และคณะราษฎร์เอา ความคิดฝรั่ง ที่ไม่เหมาะกับสังคมไทยมาใช้
นิยายนี้เสนอว่าพวกคณะราษฎร์เป็นพวก “จบนอก” ที่เอาความคิดฝรั่งมาสวมสังคมไทยที่มีประเพณีการอาศัยใต้ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ “มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย”
ในประการแรกการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มีกษัตริย์เป็นผู้ถืออำนาจสูงสุดไม่ใช่ระบบการปกครองเก่าแก่ของไทย แต่พึ่งประดิษฐ์ขึ้น 60 ปีก่อนการปฏิวัติ ๒๔๗๕ โดยรัชกาลที่ ๕ และสาเหตุหนึ่งที่รัชกาลที่ ๕ นำระบบนี้มาใช้กับเมืองไทยก็เพราะมองว่าระบบรัฐรวมศูนย์แบบทุนนิยมที่มีอยู่ในโลกภายนอกเหมาะสมกับยุคสมัยใหม่ของไทย
ในประการที่สองกระแสการเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในคนที่ไปเรียนต่างประเทศ เพราะผู้นำส่วนใหญ่ของคณะราษฎร์ไม่ได้จบจากนอกแต่อย่างใด และปรีดีเองได้เคยตั้งข้อสังเกตว่า “เมื่อข้าพเจ้ากลับเมืองไทยปี ๒๔๗๐ ชนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยไปต่างประเทศมีความตื่นตัวที่จะเปลี่ยนระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์”

3. การปฏิวัติ ๒๔๗๕ เป็นการกระทำของกลุ่มชั้นนำโดยประชาชนไม่มีส่วนร่วม
นิยายที่สามนี้ถือว่ามีกำเนิดมาจากสำนักคิดที่มองคนชั้นล่างในเมืองไทยเสมือนควายที่ไร้ความสามารถที่จะมีส่วนร่วมทางการเมือง ในปัจจุบันคนที่มีความคิดแบบนี้มองว่าวิกฤตการเมืองปัจจุบันเป็นแค่การทะเลาะกันระหว่างทักษิณกับคู่แข่ง โดยมวลชนเสื้อแดงถูกจ้างมาเท่านั้น
อย่างไรก็ตามมีงานวิจัยหลายชิ้นที่เสนอว่าในหมู่ประชาชนมีกระแสความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมสูง และมีหลักฐานว่าประชาชนชั้นล่างมีส่วนร่วมในการปฏิวัติพอสมควร  แม้แต่ชนชั้นกรรมาชีพก็มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิเสรีภาพมาก่อนหน้าการปฏิวัติ ตัวอย่างที่ดีคือ“คณะกรรมกร”ของ ถวัติ ฤทธิเดช ที่สนับสนุนคนงานรถรางและที่มีหนังสือพิมพ์ชื่อ “กรรมกร” คณะกรรมกรถูกก่อตั้งขึ้นในปี ๒๔๖๓ และมีส่วนร่วมในการต่อสู้กับฝ่ายเจ้าในปี ๒๔๗๕ และในปราบกบฏบวรเดชปี ๒๔๗๖
4. รัชกาลที่ ๗ เป็นบิดาแห่งการปกครองประชาธิปไตยไทย
กระแสที่เสนอว่ารัชกาลที่ ๗ เป็นบิดาแห่งการปกครองประชาธิปไตย เป็นกระแสที่ได้รับการสนับสนุนในแวดวงชนชั้นปกครองไทยในยุคหลังเหตุการณ์รุนแรง ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ซึ่งจะเห็นได้จากการที่มีการสร้างรูปปั้นรัชกาลที่ ๗ ไว้หน้าตึกใหม่ของรัฐสภาไทยในสมัยนั้น ปรากฏการณ์อันนี้ถ้าเปรียบเทียบกับรูปปั้นหน้ารัฐสภาสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นรูปปั้นของผู้นำการปฏิวัติที่ล้มอำนาจกษัตริย์อังกฤษ จะเห็นว่าค่อนข้างจะแปลกประหลาด เพราะการเชิดชูผู้นำการปฏิวัติ เช่นผู้นำคณะราษฎร์ ซึ่งเปิดทางให้มีการปกครองแบบใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญน่าจะสมเหตุสมผลทางประวัติศาสตร์มากกว่าการเชิดชูผู้ปกครองระบบเก่าที่ถูกล้มไป แต่หลังการปราบปรามอย่างป่าเถื่อนของชนชั้นปกครองไทยในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ชนชั้นปกครองต้องการที่จะลบล้างประวัติศาสตร์การต่อสู้ของมวลชนชาวไทยให้หมดไปจากจิตสำนึกของเรา การล้างจิตสำนึกของประชาชนมีหลายรูปแบบ อีกตัวอย่างคือการไม่ให้ความสำคัญกับอนุสาวรีย์การปฏิวัติ ๒๔๗๕ ที่เป็นหมุดโลหะซึ่งตั้งไว้บนถนนใกล้ๆ พระรูปทรงม้า และอนุสาวรีย์ที่ระลึกถึงชัยชนะของคณะราษฎร์ในการปราบกบฏบวรเดชที่หลักสี่
สรุป
การปฏิวัติ ๒๔๗๕ เป็นการปฏิวัติล้มรัฐทุนนิยมภายใต้เผด็จการกษัตริย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไปสู่รัฐทุนนิยมภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งอาจมีรูปแบบประชาธิปไตยรัฐสภาหรือเผด็จการก็ได้ เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญและที่มีประโยชน์กับฝ่ายประชาชนชั้นล่างเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นขั้นตอนหนึ่งในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต้องอาศัยการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ

ใจ อึ๊งภากรณ์ องค์กรเลี้ยวซ้าย
คณะทหารเผด็จการต้องการสร้างความกลัว เพราะความกลัวนำไปสู่อัมพาต อัมพาตในการมีส่วนร่วมทางการเมือง และอัมพาตในการเคลื่อนไหว
แต่เรายอมเป็นอัมพาตไม่ได้!! เราจะต้องก้าวพ้นความกลัว
การก้าวพ้นความกลัวไม่ได้หมายความว่าเราต้องทำอะไรโง่ๆ และไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีความกลัวอยู่ในใจ แต่เราต้องหาทางบริหารความกลัวที่มีอยู่โดยปกติ เพื่อไม่ให้เราอัมพาต และเพื่อไม่ให้เราต้องยอมแพ้ เพราะถ้าเรายอมแพ้ สังคมไทยจะถอยหลังสู่ยุคมืด การเสียสละของวีรชนประชาธิปไตยตั้งแต่ ๒๔๗๕ ถึงปัจจุบันก็จะเปล่าประโยชน์ และลูกหลานคนรุ่นต่อไป จะต้องเติบโตภายใต้ระบบทาสทางความคิด
สถานการณ์ปัจจุบันหมายความว่ามีสิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรทำเด็ดขาด คือนั่งอยู่บ้านคนเดียวหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือหน้าจอโทรทัศน์ มันจะนำไปสู่ความหดหู่และความกลัว เราต้องออกจากบ้านทุกวันเพื่อไปนัดคุยกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในวงเล็กๆ เงียบๆ ดื่มกาแฟ และคุยอย่างเป็นระบบ คือคุยกับคนเดิมทุกวันอย่างต่อเนื่อง คุยเพื่อแลกข่าว แต่ไม่ใช่ข่าวลือ คุยเพื่อร่วมกันวิเคราะห์สถานการณ์ คุยเพื่อศึกษาบทเรียนจากอดีตและจากประเทศอื่น และที่สำคัญคือ
(1)ต้องคุยเพื่อวางแผนการต่อสู้แบบปิดลับ ซึ่งนำไปสู่การปฏิบัติการในที่สาธารณะแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน และการคุยกันตอนนี้ต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอะไรบ้างในอนาคตที่ใหญ่กว่าการออกมาประท้วงเชิงสัญญลักษณ์
(2)ต้องคุยเพื่อเลือกตัวแทนที่จะไปคุยกับกลุ่มเล็กๆ อื่นๆ เพื่อสร้างเครือข่าย ซึ่งในประเด็นนี้ต้องให้ความสำคัญกับการสื่อสาร นี่คือ “ก.ข.ค.” ของการจัดตั้งและต่อสู้ใต้ดิน
การต่อสู้ครั้งนี้จะใช้เวลา แต่เรามีเวลา เราคือคนส่วนใหญ่ และเราคืออนาคต พวกทหาร พวกอำมาตย์ และพวกต้านประชาธิปไตย คือคนส่วนน้อยที่ไม่มีอนาคตต่างหาก
จัดขบวนเป็นระบบ
การต่อสู้รอบนี้คงใช้เวลา แต่เราต้องสู้อย่างต่อเนื่องด้วยวิธีการต่างๆ ที่หลากหลาย ที่สำคัญคือต้องพยายามขยายกระแส ไปสู่ทุกภาคส่วน ต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
แต่เราต้องฉลาดในการต่อสู้ ต้องเข้าใจยุทธวธีที่มีประสิทธิภาพ เพราะแค่การใช้ “อารมณ์” คงอยู่ได้ไม่นาน
การต่อสู้แบบนำตนเอง นัดเอง มาเอง มีความสำคัญยิ่งในสถานการณ์ที่ผ่านมา เพราะมันเป็นการแสดงจุดยืนนำตนเอง ไม่พึ่งทักษิณด้วย เพราะทักษิณไม่มีความคิดจะสู้แบบที่จะถอนรากถอนโคนอำนาจทหารหรืออำมาตย์เลย เขาต้องการแค่กดดันให้เขาสามารถกลับมามีบทบาทเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้เราจะสู้แบบ นำตนเอง นัดเอง มาเอง ไม่ได้ มันค่อยๆ ลดพลังลง ดังนั้นเราต้องหาทางทำงานร่วมกันในรูปแบบองค์กร ประสานการเคลื่อนไหวและต่อสู้ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ในขณะที่คงไว้แกนนำหลากหลาย หลายหัว เพราะจะรักษาความเป็นประชาธิปไตยในองค์กร และทำให้ปราบยากขึ้น ที่สำคัญคือควรมีการนัดคุยกันระหว่างตัวแทนกลุ่มต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อถกเถียงทำความเข้าใจกับภาพรวมทางการเมือง เพื่อกำหนดแนวทางการต่อสู้ ต้องเชิญกลุ่มอื่นๆ มาร่วมมากขึ้นตลอด ไม่มีการกีดกันใคร โดยมีกติกาง่ายๆ ในการประชุม เพื่อไม่ให้ใครครอบงำ
เราต้องทำงานเป็นระบบเหมือนฝ่ายตรงข้าม ที่ทหารทำงานร่วมกับองค์กรอิสระ ศาล ม็อบนกหวีด พรรคปชป.กันเป็นอย่างดี
เราต้องให้ความสำคัญในการเชิญกลุ่มสหภาพแรงงานแดงและสหภาพแรงงานที่รักประชาธิปไตยมาร่วม สหภาพแรงงานดังกล่าวต้องพยายามทำความเข้าใจกับสมาชิกว่าทำไมเราต้องสู้แบบ “การเมือง” กับอำนาจเผด็จการ และในอนาคน ถ้าสร้างกระแสได้ เราควรพิจารณาการนัดหยุดงาน แต่ต้องทำงานการเมืองพื้นฐานก่อนอย่างเร่งด่วน
ในอนาคต มันไม่เห็นทางที่คณะรัฐประหารจะใช้ในการแก้ปัญหาสังคม ในการลดความขัดแย้ง ตามที่เขาอ้าง มันจะแก้ได้ยังไง คนจะทนกับสภาพเผด็จการเช่นนี้ได้นานแค่ไหน? ในเมื่อคนส่วนใหญ่ในประเทศไม่ได้สนับสนุนทหารและพรรคประชาธิปัตย์แต่อย่างใด อย่าให้สื่อมวลชนภายใต้ตีนทหารกล่อมให้เราหดหู่ เราต้องมีช่องทางสือแนวคิดระหว่างกันเอง การพบกันเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญ การใช้โซเชียลมีเดียก็สำคัญ แต่ต้องทำหลายอย่าง ไม่ใช่แค่พึ่งอินเตอร์เน็ตเพราะเขาปิดวิธีการแบบนี้ได้
ในระยะสั้น ทหารอาจจะสร้างภาพว่าคุมสังคมได้ด้วยกระบอกปืน แต่ภายใต้ภาพหลอกลวงนี้ประชาชนโกรธแค้นและไม่ยอมรับทหาร
ในระยะยาว ทหารจะไม่สามารถแบกความต้องการที่หนักหนาซับซ้อนของประชาชนได้ ความต้องการ ข้อเรียกร้องของทั้งฝ่ายสนับสนุนรัฐประหาร และฝ่ายคัดค้าน จะเพิ่มมากขึ้น ทั้งในมิติการเมือง เศรษฐกิจ ที่มีความขัดแย้งกันอยู่แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดทั่วไปในทุกสังคม
และสุดท้าย เราไม่ควรลืมเพื่อน ต้องรณรงค์ให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองโดยไว ไม่ใช่ปล่อยให้ถูกลืมและเป็นเหยื่อของการเจรจา อย่างที่พรรคเพื่อไทยเคยทำ
เราต้องจัดตั้งลับ เรียนรู้จากข้อดีข้อเสียของ พคท.
ช่วงนี้เป็นช่วงที่นักเคลื่อนไหวประชาธิปไตยจะต้องทำงานปิดลับใต้ดิน เพื่อคานอำนาจมืดของทหารที่คอยคุกคามเราตลอด มันไม่ใช่เรื่องใหม่ ทั้งๆ ที่เราไม่เคยต้องสู้แบบปิดลับมานาน ครั้งสุดท้ายก็หลังเหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลา ๒๕๑๙
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมศึกษายุทธวิธีการเคลื่อนไหวใต้ดิน พวกเราควรทบทวนแนวการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เพื่อวิเคราะห์จุดเด่นกับจุดด้อย
พคท. ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการจัดตั้งมวลชน เพราะมวลชนที่กระจัดกระจายแบบ “ต่างคนต่างทำ” อาจกระตือรือร้นในการเคลื่อนไหวในตอนต้น แต่พอไปสักพักก็หมดกำลังใจ หมดแรง ท่ามกลางความกลัว
การจัดตั้งสำคัญ เพราะเป็นการสร้างเครือข่ายการเคลื่อนไหวที่เชื่อมโยงไปทั่วประเทศ ซึ่งมีผลทำให้ พคท. ต่อสู้ไปได้นาน ทั้งๆ ที่มีการพยายามปราบปรามอย่างหนักจากฝ่ายชนชั้นปกครองไทย นอกจากนี้การจัดตั้งหมายความว่าทุกคนมี “ความเข้าใจร่วมกัน” ว่าสังคมมีลักษณะแบบไหน และก้าวต่อไปในการต่อสู้ควรจะเป็นอย่างไร พูดง่ายๆ พคท. มีทฤษฏีที่วิเคราะห์สังคมและนำไปสู่การปฏิบัติร่วมกันของสมาชิก เรื่องนี้สำคัญมากในปัจจุบัน เพราะขณะที่ฝ่ายทหารเผด็จการกำลังสร้างกระแสความกลัว ขณะที่ผู้ปฏิบัติการบางคนถูกจับไป ขณะที่แกนนำเก่ายอมจำนนและสร้างความสับสนในมวลชน เราต้องรักษาความมั่นใจ เราต้องรักษาปัญญาที่จะวิเคราะห์สถานการณ์ และเราต้องมีแผนสู้
พคท. เข้าใจการทำงานปิดลับที่อาศัยกลุ่มเล็กๆ ที่ประสานงานกันทั่วประเทศ และนอกประเทศ ผ่านตัวแทนหรือที่สหายเก่าเรียกกันว่า “จัดตั้ง” หรือแกนนำของกลุ่มเล็กๆ นั้นเอง นี่คือวิธีที่จะหลีกเลี่ยงการปราบปรามองค์กร
แต่การจัดตั้งของพคท. มีข้อบกพร่องใหญ่คือ การจัดตั้งของเขาเป็นรูปแบบเผด็จการ สหายนำสั่งลงมาและลูกพรรคต้องทำตาม ต้องเห็นด้วย คิดเองไม่ได้ ไม่มีประชาธิปไตยภายใน ในแง่หนึ่งพอพูดแบบนี้ก็ทำให้เรานึกได้ว่า พคท. เป็นเงาสะท้อนกลับสังคมเผด็จการ แต่ถ้าเราจะสร้างประชาธิปไตยในสังคมไทย เราใช้วิธีการของเผด็จการไม่ได้
ดังนั้นการจัดตั้งรูปแบบใหม่ที่เราต้องใช้คือ การจัดตั้งกลุ่มเล็กๆ ที่ถกเถียงประเด็นอย่างเสรี เรียนรู้และศึกษาสภาพสังคมด้วยกัน และส่งผู้แทนไปประสานกับผู้แทนของกลุ่มอื่นๆ มันเป็นการจัดตั้งแบบรากหญ้า หรือแบบล่างสู่บน ซึ่งมีลักษณะประชาธิปไตย
การมีประชาธิปไตยในองค์กรเคลื่อนไหวสำคัญเพราะ เป็นวิธีที่จะประมวลประสบการณ์การต่อสู้ของทุกคนในโลกจริง แทนที่จะทำงานภายใต้ความคิดของคนคนเดียวหรือแกนนำไม่กี่คน มันเป็นวิธีที่เราจะทดสอบการวิเคราะห์สังคมและแนวสู้ในโลกจริง เพื่อปรับปรุงตลอดเวลา ไม่ใช่ทำงานแบบท่องสูตร
ในขณะเดียวกันเราต้องเข้าใจว่า การมีประชาธิปไตยในองค์กรเคลื่อนไหวแบบที่เราจะสร้าง ไม่ได้หมายความว่า “ต่างคนต่างเคลื่อนไหว” แบบเสรี 100% เพราะนั้นจะนำไปสู่การปฏิบัติแบบกระจัดกระจาย ซึ่งจะไม่มีพลังเมื่อเผชิญหน้ากับเผด็จการรวมศูนย์ของฝ่ายอำมาตย์ เราต้องมีวินัยในตัวเราเองที่จะทำตามมติเสียงส่วนใหญ่เสมอ เราจะมาเสพสุขกับความเป็นเสรีชนไม่ได้ถ้าเราจะโค่นเผด็จการ
พคท. เข้าใจเสมอว่าเราต้องขยายมวลชนและขยายความคิดไปสู่คนจำนวนมาก เราก็ต้องเข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน ไม่ใช่แค่พอใจในการกระทำของกลุ่มเล็กๆ อย่าลืมว่าเพื่อนๆ พลเมืองไทยเป็นล้านๆ ไม่พอใจกับการเหยียบย่ำสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยโดยทหารหรือม็อบพรรคประชาธิปัตย์ พลเมืองเหล่านี้คือแนวร่วมสำคัญของเรา
พคท. มีจุดอ่อนสำคัญอีกสองจุดคือ (1) การเลือกวิธีจับอาวุธ แทนที่จะเน้นการขับเคลื่อนมวลชน ซึ่งรวมถึงการนัดหยุดงานของคนทำงานด้วย และ(2) เลือกสมรภูมิชนบท แบบ “ป่าล้อมเมือง”
เราคงเรียนรู้ไปแล้ว จากประวัติศาสตร์ พคท. ว่าการจับอาวุธคงเป็นวิธีที่จะรบกับทหารที่มีอาวุธและรถถังครบมือไม่ได้ แต่จุดอ่อนของทหารคือ เวลาเขาจะบริหารบ้านเมือง เขาใช้ปืนอย่างเดียวไม่ได้ และใช้ตลอดไปไม่ได้อีกด้วย ในที่สุดเขาต้องการอาศัยการร่วมมือจากเรา เราจึงต้องหาทางไม่ร่วมมือ ต้องหาทางประท้วงเมื่อโอกาสเหมาะ
ในเรื่องสมรภูมิ นักประชาธิปไตยคงเข้าใจกันแล้วว่าสมรภูมิหลักคือในเมืองต่างๆ ตามที่เราเห็นคนออกมาประท้วงรัฐประหารเมื่อไม่นานมานี้ เราทำงานปิดลับในเมืองง่ายกว่าในชนบทด้วย เพราะในเมืองมีชุมชนแออัด
ถึงแม้ว่าเราจำใจต้องทำงานปิดลับตอนนี้ แต่เราต้องไม่ลืมว่าเราต้องรู้จักปรับตัว ถ้าโอกาสหรือช่องว่างเกิดขึ้น เราต้องสามารถเปลี่ยนวิธีทำงานไปเป็นการทำงานแบบเปิดเผยอย่างรวดเร็ว ในอดีตหลายองค์กรที่เคยชินกับการทำงานปิดลับ จะปรับตัวเพื่อทำงานแบบเปิดเผยไม่ทัน ตรงนี้นักปฏิวัติรัสเซียชื่อ เลนิน เป็นตัวอย่างที่ดีเลิศของนักต่อสู้ที่พร้อมจะปรับตัวเพื่อเข้ากับสถานการณ์เสมอ แต่เวลาเลนินปรับตัว เขาไม่ได้เปลี่ยนจุดยืนหรือุดมการณ์แต่อย่างใด การปรับตัวต่างจากการฉวยโอกาสทิ้งอุดมการณ์เดิมโดยสิ้นเชิง มันเป็นคนละเรื่องกัน 
หวังพึ่งทักษิณ เพื่อไทย หรือ นปช. ไม่ได้ ดังนั้นเราต้องพึ่งตนเอง
ในเมื่อคนอย่างทักษิณ สามารถครองใจประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ และในเมื่อคนอย่างประยุทธ์ ไม่สามารถครองใจใคร นอกจากสลิ่มและพวกประจบสอพลอล้างลิ้นคอยเลีย แถมยังทำตัวน่าสมเพชเป็นที่อับอายขายหน้าสังคมสากลเพราะหลงตัวเองคิดว่าเป็น สฤษดิ์ กลับชาติมาเกิด ทักษิณได้เปรียบประยุทธ์และทหารเผด็จการแบบขาดลอย
ดังนั้นถ้าทักษิณ มีความประสงค์และมีวุฒิภาวะในการเป็นผู้นำ เขาสามารถออกประกาศให้ประชาชนเสื้อแดงและคนอื่นที่ชื่นชมไทยรักไทยและเพื่อไทย เตรียมพร้อมจัดตั้ง สร้างเครือข่าย วางแผน ที่จะล้มเผด็จการทหารและสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทยได้  แต่ทักษิณไม่มีวันทำ
ทักษิณ ไม่มีวันทำ เพราะทักษิณกลัวการลุกฮือของประชาชนมากกว่าที่จะกลัวว่าสังคมไทยจะถอยหลังเข้าสู่ยุคมืดของเผด็จการทหาร เรื่องนี้ชัดเจนมานาน ตั้งแต่ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งที่นำไปสู่การตั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะทักษิณมัวแต่ชักชวนให้พรรคพวกปรองดองกับทหาร แต่การปรองดองกับทหารทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้ใจและในที่สุดนำไปสู่รัฐประหารของประยุทธ์
พลเมืองผู้รักประชาธิปไตยส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องเชื่อนิยายหลอกเด็ก ว่าทักษิณ หรือ ใครก็ตาม จะมาปลดแอกสังคมและสร้างประชาธิปไตยให้เราทุกคน เราต้องพึ่งตนเอง และเราต้องพึ่งตนเองในขณะที่แกนนำรากหญ้าหลายคนถูกคุกคามจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่เราต้องเข้าใจว่าสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราว
กาลเวลาและสังคมไม่เคยหยุดนิ่ง เมื่อดวงอาทิตย์ตกและฟ้าดินมืดมน ในไม่ช้าเช้ารุ่งก็จะตามมา แต่ในช่วงตกมืดเราหลับนอนไม่ได้ เราต้องขยันสร้างกลุ่ม เชื่อมกับกลุ่มอื่นและสร้างเครือข่าย เพื่อลุกขึ้นสู้โค่นเผด็จการและสร้างประชาธิปไตยในอนาคตอันใกล้
การสร้างกลุ่มและเครือข่ายน่าจะอาศัยจุดยืนง่ายๆ ที่สร้างความสามัคคีในมวลชนประชาธิปไตยได้  เช่น ปฏิเสธรัฐธรรมนูญปี 50 และการปฏิกูลสังคมที่จะเกิดขึ้นภายใต้เผด็จการประยุทธ์
เราน่าจะมีจุดร่วมว่า สส. และ สว. ทุกคนจะต้องมาจากการเลือกตั้ง  ต้องยุบศาลรัฐธรรมนูญ กกต.และองค์กรอิสระทั้งหมด  ปล่อยนักโทษการเมืองทุกคน เน้นการพัฒนาสถานภาพของพลเมืองทุกคนผ่านการพัฒนารายได้ของคนระดับล่าง ส่งเสริมนโยบายที่พัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคให้ทันสมัย และ นำทหารมือเปื้อนเลือดที่ก่อรัฐประหารมาลงโทษ
พวกเราควรจะจับกลุ่มกันเพื่อรวมตัวกันภายใต้นโยบายง่ายๆ ที่สร้างความสามัคคีในมวลชนประชาธิปไตยแบบนี้
แล้วเราควรจะออกไปขยายเครือข่ายของคนที่เห็นตรงกับเรา ควรมีการตั้งสภากาแฟในทุกชุมชนเพื่อคุยเรื่องอนาคตประชาธิปไตยไทย ซึ่งจะเป็นหน่ออ่อนของเครือข่ายที่จะลุกขึ้นมาสู้ จนล้มเผด็จการ
เราอาจไปทำบุญร่วมกันที่วัด แล้วถือโอกาสคุยการเมือง
เราควรพัฒนาความรู้โดยจัดกลุ่มศึกษาเล็กๆ ที่ศึกษาประวัติศาสตร์ไทย ทฤษฎีการเมือง และวิธีการต่อสู้กับเผด็จการ
ในไม่กี่เดือนข้างหน้า เมื่อทหารเริ่มหมดสภาพในการครองสังคม จะเกิดช่องโหว่และโอกาสในการเคลื่อนไหว และเมื่อนั้นเครือข่ายทั่วประเทศของเราจะต้องขยับตัวออกมาเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผย แต่ถ้าเราไม่สร้างกลุ่มและเครือข่ายเหล่านี้ไว้ล่วงหน้าเราจะทำไม่ได้
แจกใบปลิวโดยกลุ่มใต้ดิน
การแจกใบปลิวลับๆ ในสถานที่สาธารณะ โดยกลุ่มใต้ดินที่คัดค้านเผด็จการ ควรอาศัยหลักการดังนี้คือการเลือกเนื้อหา ควรคิดว่าต้องการสื่ออะไรให้ใคร อยากให้ผู้รักประชาธิปไตยทำอะไรเป็นรูปธรรม หรืออยากแจ้งอะไรเพื่อทราบ ที่สำคัญคือเลือกเรื่องสำคัญมาเรื่องเดียวก็พอ คราวต่อไปเสนออีกเรื่อง ใบปลิวไม่ใช่หนังสือ และไม่ใช่แถลงการณ์ยาว
หลีกเลี่ยงคำหยาบถ้าไม่จำเป็น หลีกเลี่ยงข้อความ 112 แสดงตัวว่าเป็นองค์กรที่มีวุฒิภาวะ
การออกแบบจัดหน้า ต้องมีหัวข้อใหญ่ เห็นและเข้าใจทันที อาจมีหนึ่งรูปภาพ เนื้อหาไม่ควรยาว ใช้เวลาอ่านไม่เกิน 1 นาที ทำใบปลิวขนาด A5 คือครึ่งหน้ากระดาษ และควรใช้โลโก้เดียวตลอด ถ้าเป็นไปได้ควรใช้ร่วมกับกลุ่มอื่น เช่นโลโก้ชูสามนิ้วเป็นต้น
ก่อนไปถ่ายเอกสาร ต้องสำรวจแหล่งที่ปลอดภัย อาจถ่ายคนละนิดแล้วมารวมกัน
ก่อนที่จะกระจายใบปลิว ควรสำรวจสถานที่ต่างๆ ก่อน สำรวจว่ากระจายแล้วจะหลบไปอย่างไร เส้นทางใด ฯลฯ
หลายแห่งมีกล้องวงจรปิด เราคงต้องหาทางปิดหน้า แบบดูธรรมชาติ
การกระจายใบปลิวมีหลายรูปแบบ เช่นทิ้งจากที่สูงลงมาบนพื้นที่ที่มีคนเดินไปเดินมา ภายในหรือภายนอกตึก อาจแอบวางบนเก้าอี้ หรือในห้องน้ำ อาจกระจายในมหาวิทยาลัย อาจกระจายตามชุมชน หรือวางบนกระจกรถ ฯลฯ คิดสร้างสรรค์เอง
กระจายเสร็จแต่ละครั้งไม่ควรมีเหลือติดตัว ไม่ควรมีเหลือที่บ้าน ต้นฉบับไม่ควรอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS