You can replace this text by going to "Layout" and then "Edit HTML" section. A welcome message will look lovely here.
RSS

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ว่าด้วยการปฏิวัติ-รัฐประหาร / โดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

ว่าด้วยการปฏิวัติ-รัฐประหาร / โดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
คอลัมน์ : ถนนประชาธิปไตย

ผู้เขียน : สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

การยึดอำนาจด้วยกองทัพเพื่อทำการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองถือเป็นวิธีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ใช้กันมากแบบหนึ่งในระบบการเมืองแบบด้อยพัฒนา การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบนี้เรียกกันว่า “รัฐประหาร” หรือใช้ในภาษาอังกฤษว่า coup d’état ซึ่งเป็นคำยืมมาจากภาษาฝรั่งเศส มีความแตกต่างกับอีกคำหนึ่งที่ใช้กันคือ “ปฏิวัติ” ในภาษาอังกฤษใช้ว่า revolution มีความหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มีการเปลี่ยนระบอบหรือเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน

ประเทศไทยถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีรัฐประหารมากเป็นอันดับ 3 ของโลก รัฐประหารครั้งแรกคือการประกาศงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราโดยรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดาในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 แม้ว่าจะไม่มีการเคลื่อนกำลังทหาร แต่ผลของการงดใช้รัฐธรรมนูญโดยไม่ระบุมาตราและปิดสภาผู้แทนราษฎรก็ทำให้การใช้อำนาจของรัฐบาลเป็นแบบเผด็จการ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา และ พ.ท.หลวงพิบูลสงคราม จึงยึดอำนาจเพื่อรื้อฟื้นรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 ทำให้ประเทศมีการปกครองแบบประชาธิปไตยต่อมา

สำหรับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ในปัจจุบันไม่ถือเป็นการรัฐประหาร แต่เป็นการปฏิวัติประเทศ เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมือง และนำมาซึ่งการเปลี่ยนในเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมอย่างมาก นอกจากนี้แล้วการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยที่คล้ายการปฏิวัติอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ก็คือ กรณี 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ที่ระบอบเผด็จการทหารถูกโค่นลงด้วยอำนาจประชาชน

ส่วนการรัฐประหารในประเทศไทยครั้งที่ 3 เกิดเมื่อ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ต่อมาก็คือรัฐประหาร พ.ศ. 2494 รัฐประหาร พ.ศ. 2500 รัฐประหาร พ.ศ. 2501 รัฐประหาร พ.ศ. 2514 รัฐประหาร 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 รัฐประหาร พ.ศ. 2520 รัฐประหาร พ.ศ. 2534 รัฐประหาร พ.ศ. 2549 และรัฐประหารครั้งนี้ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือเป็นการรัฐประหารครั้งที่ 12 ในประวัติศาสตร์

การยึดอำนาจบ่อยในประเทศไทย ทำให้มีการใช้คำที่สับสนปนเปกัน เพราะประชาชนมักเรียกการยึดอำนาจโดยทหารว่า “ปฏิวัติ” เสมอ ซึ่งความสับสนนี้เป็นผลิตผลแห่งการยึดอำนาจของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2501 จอมพลสฤษดิ์เรียกคณะยึดอำนาจของตนเองว่า “คณะปฏิวัติ” และครองอำนาจเผด็จการมายาวนาน ต่อมาจอมพลถนอม กิตติขจร ก็ครองอำนาจเผด็จการต่อ และทำรัฐประหารตนเองเมื่อ พ.ศ. 2514 โดยใช้คำว่า “คณะปฏิวัติ” อีกครั้ง การเรียกการยึดอำนาจโดยฝ่ายทหารว่า “ปฏิวัติ” จึงติดปากชาวไทย ทั้งที่การยึดอำนาจหลังจากนั้นไม่ได้ใช้คำว่าคณะปฏิวัติกันอีกเลย แต่มาใช้คำว่า “ปฏิรูป” หรือ “รักษาความสงบเรียบร้อย” แทน และด้วยความสับสนในการใช้คำ ปรีดี พนมยงค์ จึงเสนอให้ใช้คำเรียกเฉพาะการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ว่า “การอภิวัฒน์”

การก่อรัฐประหารทั่วโลกจะมีลักษณะคล้ายกันคือ เริ่มก่อการจากทหารจำนวนน้อย หรือมาจากผู้บัญชาการทหารที่ควบคุมกองทัพ แล้วเคลื่อนกำลังหรือประกาศยึดอำนาจแบบฉับพลันเพื่อโค่นรัฐบาลชุดเดิม แล้วตั้งคณะบริหารหรือรัฐบาลชุดใหม่ และหลายครั้งจะมีการยกเลิกอำนาจนิติบัญญัติคือรัฐสภาชุดเดิม และล้มรัฐธรรมนูญฉบับเดิมด้วย จากนั้นก็จะมีการตั้งกรรมการมาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งมักจะมีการใช้ไปจนถึงรัฐประหารครั้งต่อไป

ประเทศที่รัฐประหารบ่อยก็จะมีการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญบ่อย เช่นในประเทศไทย จึงมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญมาแล้ว 18 ฉบับ ซึ่งถือเป็นสถิติอัปยศในโลก ฉบับของ พล.อ.ประยุทธ์ที่จะให้มีขึ้นจะเป็นฉบับที่ 19 แล้วคงจะมีฉบับที่ 20, 21 ต่อไปอีกในการรัฐประหารครั้งหน้าและครั้งต่อไป

แต่กระนั้นการรัฐประหารถือว่าเป็นวิธีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและไร้กติกา เพราะในระบอบประชาธิปไตยโดยทั่วไปจะกำหนดวิธีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไว้แล้วด้วยการลงคะแนนเสียงของประชาชน หมายถึงว่าผู้ที่เข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศจะมีอำนาจเต็มในการดำเนินนโยบายตามที่ตนเองเสนอในกรอบเวลาที่แน่นอนชัดเจน เช่น 4 ปี หรือ 5 ปี จากนั้นก็จะต้องไปสู่ประชาชน ก็คือให้ประชาชนเลือกกันใหม่ว่าจะให้ใครหรือพรรคใดบริหารประเทศ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในลักษณะนี้จึงไม่ต้องก่อการรัฐประหาร

เราจึงพบว่าประเทศประชาธิปไตยก้าวหน้าจำนวนมากไม่เคยมีการรัฐประหารเลย เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน ออสเตรเลีย ฟินแลนด์ อินเดีย ฯลฯ ประเทศ เช่น คอสตาริกา รัฐประหารครั้งสุดท้ายตั้งแต่ พ.ศ. 2460 แล้วไม่มีรัฐประหารอีกเลยจนปัจจุบัน ประเทศญี่ปุ่นและเยอรมนีไม่เคยมีการรัฐประหารเลยนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ในภาคีอาเซียน เช่น มาเลเซีย ก็ไม่เคยมีการยึดอำนาจรัฐประหารเลยเช่นกัน

ในประเทศที่ไม่เคยมีการรัฐประหารเหล่านี้ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความขัดแย้งทางการเมือง เพียงแต่ถือกันว่าวิธีแก้ปัญหาทางการเมืองที่มีอารยธรรมก็คือ การใช้ประชาธิปไตย เคารพในความเห็นของเสียงข้างมากในกรอบเวลาที่แน่นอน แล้วเปลี่ยนอำนาจด้วยเสียงประชาชน กองทัพในประเทศเหล่านี้จึงไม่เคยมีบทบาทแทรกแซงทางการเมืองเลย นี่คือเหตุผลว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ใช้กองทัพยึดอำนาจถือเป็นเรื่องล้าหลัง

ประเทศล้าหลังทางการเมือง ชนชั้นนำของประเทศเหล่านี้มักจะไม่มีความรู้ทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ไม่เคยคิดจะเคารพการลงคะแนนเสียงของประชาชน จึงถือการรัฐประหารเป็นทางออก ดังนั้น ประเทศเช่นเฮติจึงมีการรัฐประหาร 25 ครั้ง ถือเป็นสถิติโลก ประเทศโบลิเวียอยู่ในอันดับรองมา คือมีรัฐประหาร 14 ครั้ง แต่การรัฐประหารครั้งสุดท้ายเกิดเมื่อ พ.ศ. 2523 แล้วไม่มีการรัฐประหารอีกเลย ประเทศปากีสถานมีการรัฐประหาร 6 ครั้ง ครั้งสุดท้ายคือ พ.ศ. 2542 โดย พล.อ.เปอร์เวซ มูชาร์ราฟ แต่ขณะนี้ได้กลับมาเป็นประชาธิปไตยแล้ว ประเทศพม่ามีการรัฐประหารเพียง 2 ครั้ง พ.ศ. 2505 และ พ.ศ. 2531 เพียงแต่การปกครองเป็นแบบเผด็จการทหารตลอดตั้งแต่ พ.ศ. 2505 เป็นต้นมา แต่ในปัจจุบันก็มีแนวโน้มที่จะผ่อนปรนไปสู่ประชาธิปไตยมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายประเทศที่ยังคงใช้วิธีการรัฐประหารแก้ไขปัญหาทางการเมือง แม้ว่าจะมีค่อนข้างน้อยก็ตาม เช่น ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมามีการรัฐประหารเกิดขึ้น 10 ประเทศคือ เฮติ (2547) มอริเตเนีย (2548) โตโก (2548) ไทย (2549) ฟิจิ (2549) มอริเตเนีย (2551) กินี (2551) ไนเจอร์ (2553) มาลี (2555) กินีบิเซา (2555) อียิปต์ (2556) และไทย (2557)

ส่วนประเทศที่ยังคงปกครองภายใต้ระบอบรัฐประหารใน พ.ศ. 2557 มี 9 ประเทศคือ อิเควทอเรียลกินี, บูร์กินาฟาโซ, ซูดาน, แกมเบีย, ฟิจิ, มอริเตเนีย, กินีบิเซา, อียิปต์ และไทย

คำถามคือ เคยมีหรือไม่ที่การรัฐประหารในประเทศเหล่านี้นำไปสู่การปฏิรูปทางการเมืองที่ดีขึ้น เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น หรือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้า

คำตอบจากสถิติของการรัฐประหารในประเทศต่างๆคือ โอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้ามักจะมาจากการรัฐประหารที่นำโดยทหารระดับกลาง และมีความคิดแบบใหม่ เช่น การรัฐประหารในกรีกเมื่อ พ.ศ. 2510 การรัฐประหารในโปรตุเกสเมื่อ พ.ศ. 2517 แต่ถ้าเป็นการรัฐประหารโดยผู้บัญชาการกองทัพแทบทั้งหมดจะเป็นการถอยหลังเข้าคลอง เพราะเหล่าผู้บัญชาการกองทัพมักจะมีแนวคิดอนุรักษ์นิยมและต่อต้านการเปลี่ยนแปลง โอกาสที่จะมีการปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยโดยเหล่าผู้บัญชาการทหารจึงไม่มี และถูกต่อต้านจากประชาชนอย่างหนัก เช่น รัฐประหารพม่าเมื่อ พ.ศ. 2531 และรัฐประหารอียิปต์ พ.ศ. 2555

นี่เป็นเพียงเรื่องเล่าส่วนหนึ่งเกี่ยวกับการรัฐประหารทั่วไป ซึ่งหวังว่ารัฐประหารในประเทศไทยจะเกิดการปฏิรูปในทางที่ดีขึ้นอย่างที่ประกาศไว้
http://www.lokwannee.com/web2013/?p=75515

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น