You can replace this text by going to "Layout" and then "Edit HTML" section. A welcome message will look lovely here.
RSS

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อ้างชาติเชื้อไทยไว้หลอกฝรั่ง

อ้างชาติเชื้อไทยไว้หลอกฝรั่ง

เมื่ออังกฤษเข้ายึดพม่าและมลายูซึ่งมีเขตแดนติดต่อกับสยาม ก็ได้ขอให้สยามปักปันเขตแดนระหว่างกันให้ชัดเจนแทนระบบเดิมที่ใช้ความ สัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้ครองนครทั้งหลายเป็นเรื่องหลัก อังกฤษค่อยๆรุกแย่งดินแดนทางตอนใต้จากสยาม และเข้ายึดดินแดนบางส่วนจากพม่า ฝรั่งเศสก็เข้าทางตะวันออกเพื่อยึดไซ่ง่อนและผนวกเขมรเข้ามาอยู่ในความดูแล ฝรั่งเศสพยายามหาข้ออ้างทางประวัติศาสตร์เพื่อแสดงว่าเวียตนามเคยครอบครอง ดินแดนที่อยู่ระหว่างฮานอย-ไซ่ง่อนและกรุงเทพ ในเมื่อฝรั่งเศสยึดเวียตนามได้แล้วก็ควรมีสิทธิ์เหนือดินแดนที่เวียตนามได้ เคยครอบครองมาก่อน ขณะที่พวกนักธุรกิจฝรั่งก็เริ่มเข้ามาหาผลประโยชน์ในสยาม บริษัททำไม้อังกฤษหลายแห่งเริ่มทำไม้ที่พม่าแล้วขยายเข้ามาทางล้านนาแถว เชียงใหม่ บริษัทเหมืองแร่ดีบุกพยายามขยายจากแหลมมลายูของอังกฤษเข้าสู่ดินแดนสยาม บริษัทพวกนี้ได้รับสัมปทานจากเจ้าเมืองที่เป็นประเทศราชของสยาม พวกนักเก็งกำไรฝรั่งเสนอที่กรุงเทพให้ขุดคลองคอคอดกระ รวมทั้งการขอทำเหมืองแร่หลายชนิดและสร้างทางรถไฟ ทำให้สยามเริ่มมองเห็นความจำเป็นในการมีเส้นแบ่งดินแดนที่ชัดเจนโดยจ้างนัก สำรวจชื่อเจมส์แมคคาร์ทีจากอินเดีย แต่ฝรั่งเศสก็มีการทำแผนที่ของตนเองพร้อมทั้งส่งทหารเข้าประจำการบนพื้นที่ ที่มีการโต้แย้งกัน ฝรั่งเศสผนวกดินแดนตะวันออกแม่น้ำโขงเป็นของตน สยามตอบโต้โดยพยายามเกณฑ์ทหารให้ได้ 180,000 นาย แต่เกณฑ์ได้จริงไม่กี่หมื่นคน มีการสู้รบกันใกล้แม่น้ำโขง ฝรั่งเศสนำเรือรบสองลำมาปิดท่าเรือกรุงเทพ จนสยามต้องยอมทำสนธิสัญญาให้ใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างสยามและ ฝรั่งเศส โดยตัดเอารัฐลาวที่หลวงพระบาง เวียงจันทน์ เขมรตอนเหนือ และส่วนใหญ่ของสิบสองปันนาและสิบสองจุไทยทางเหนือของลาวออกจากแผนที่สยาม ซึ่งแมคคาร์ทีเขียนขึ้น ขณะที่อังกฤษและฝรั่งเศสมีข้อตกลงกันแบบลับๆว่าจะบีบสยามให้ยกดินแดนด้าน ตะวันออกให้ฝรั่งเศส และแหลมมลายูทางใต้ให้อังกฤษ
การที่ฝรั่งเริ่มเข้ามาทำสนธิสัญญาหลายฉบับทำให้มีการพูดถึงเรื่องของชนชาติ มีการเรียกชาวต่างชาติทั้งหมดที่อยู่ในสยามว่าพวกสิบสองภาษาหรือ สี่สิบภาษา ที่บานประตูวัดโพธิ์สมัยรัชกาลที่ 3 มีภาพเขียนแสดงลักษณะคนแต่ละชาติ 27 ภาพ โดยบรรยายลักษณะของคนไทยว่าหมายถึงพวกขุนนางที่มีอำนาจเหนือผู้อื่น โดยมีกษัตริย์ที่เรียกตนเองว่าเจ้ากรุงสยามและสยามินทร์ สำหรับเมืองที่ไกลออกไปก็เรียกชื่อตามลักษณะเชื้อชาติ เช่น ลาวอีสาน ลาวพายัพ (ลาวตะวันตกเฉียงเหนือ) เขมร มลายู หรือแขกเป็นการตอกย้ำว่าจักรวรรดิสยามมีอิทธิพลเหนือผู้คนเชื้อชาติอื่นๆ รัชกาลที่ 5 ก็ได้แนะนำพระองค์เองเมื่อคราวเสด็จประพาสอินเดียในปี 2415 ว่าเป็นกษัตริย์สยามผู้ทรงพระราชอำนาจเหนือลาวและมลายู

ฝรั่งเศสได้ใช้ข้ออ้างทางเชื้อชาติว่าคนลาวเป็นอีกชนชาติหนึ่งที่ไม่ใช่ชาว สยามที่มีหลายชนชาติผสมปนเปกับชาวจีน คนสยามหรือคนไทยแท้ๆจึงเป็นแค่คนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มผู้ปกครองที่มีจำนวนน้อย นิดที่ครอบงำคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ไม่ใช่คนไทย ฝรั่งเศสได้ขยายขอบเขตให้ชาวอินโดจีนที่อยู่ในสยามมีสถานภาพเป็นคนในบังคับ ของฝรั่งเศสที่เป็นอิสระจากสยามโดยขยายรวมไปถึงลูกหลานของชาวลาวและเขมรทุก คน แม้แต่คนจีนที่ต้องการอยู่ในบังคับของฝรั่งเศสเพื่อความสะดวกในการทำการค้า ชาวสยามจำนวนมากยอมอยู่ใต้บังคับของฝรั่งเศสเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเกณฑ์แรง งาน ส่วนนักธุรกิจฝรั่งเศสก็วางแผนจะอาศัยคนในบังคับของตนมาช่วยทำกิจกรรมของตน

ราชสำนักสยามจึงต้องหันมาใช้วาทกรรมเรื่องเชื้อชาติโดยอ้างว่าเชื้อชาติหมาย ถึงคนที่พูดภาษาเดียวกันโดยตีความว่าคนที่พูดภาษาไทยทั้งหลายทุกกลุ่มทุก สำเนียงล้วนเป็นคนไทยทั้งสิ้น อีกด้านหนึ่งก็ให้คำจำกัดความว่าคนที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเดียวกันเป็น พสกนิกรและข้าราชบริพารของพระมหากษัตริย์องค์เดียวกันถือว่าเป็นคนไทยเหมือน กัน

รัฐบาลได้ตั้งมณฑลใหม่หลังจากปี 2442 โดยไม่ใช้ชื่อเดิมที่เป็นการแบ่งแยกเชื้อชาติเป็นลาว เขมร มลายู หรือแขก แต่ตั้งชื่อเป็นภาษาบาลี-สันสกฤติ โดยบางชื่อมีความหมายเป็นชื่อทิศที่มีกรุงเทพเป็นจุดศูนย์กลาง เช่น อุดร พายัพ บูรพา
สนธิสัญญาระหว่างประเทศในฉบับภาษาไทยนับตั้งแต่ปี 2445 ก็ใช้คำว่าประเทศไทยแทนคำว่าสยามโดยเรียกประชาชนที่อยู่ในราชอาณาจักรไทยว่า มีสัญชาติไทย ให้ประเทศและชนชาติเป็นสิ่งเดียวกันเพื่อยืนยันให้ฝรั่งยกเลิกสิทธิสภาพนอก อาณาเขตของคนในอาณัติฝรั่ง แต่รัฐบาลไทยต้องยอมยกดินแดนจำนวนมากเป็นการชดเชยให้ฝรั่ง โดยยกดินแดนในมณฑลเขมร คือ เสียมเรียบ พระตะบองและศรีโสภณให้ฝรั่งเศสในปี 2450 ยกรัฐมลายู คือ ไทรบุรี (เคดาห์) กลันตัน ตรังกานูและปะลิสให้อังกฤษในปี 2452 รัฐบาลไทยพยายามเสนอความเป็นไทยที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันต่อพวกฝรั่ง แต่ยังให้คงความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติภายในระหว่างกันเอง รัฐหรือประเทศไทยแบบใหม่ได้รวมเอาประชาชนที่มาจากหลากหลายภูมิหลังและความ คิดให้มาอยู่ในกรอบวินัยเดียวกัน ใช้กองทัพประจำการที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่เพื่อควบคุมให้เกิดความสงบเรียบร้อย ภายในประเทศ มีการจัดตั้งตำรวจขึ้นใหม่เมื่อรัฐบาลตัดสินใจยกเลิกบ่อนการพนัน โดยเริ่มแรกเพื่อใช้ตำรวจควบคุมอั้งยี่ รัชกาลที่ 5 ได้มอบหมายให้พระโอรสคือกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์รพีพัฒณศักดิ์ที่จบจากอ อกซ์ฟอร์ดให้สร้างระบบตุลาการโดยให้ใช้ระบบกฎหมายแบบลายลักษณ์อักษรเพราะ เชื่อว่าจะเป็นที่พอใจของพวกฝรั่งมากกว่าระบบประเพณีของอังกฤษ จึงให้มีร่างประมวลกฎหมายอาญาเมื่อปี 2451 โดยรัชกาลที่ 5 ทรงนำเอาระบบตุลาการมารวมกันกับระบบราชการเพื่อต้องการควบคุมประชาชนให้เข้ม ข้นขึ้นตามแบบอย่างประเทศอาณานิคม ดังนั้นรัฐชาติหรือประเทศไทยจึงได้มีเครื่องมือที่พร้อมเพรียงเพื่อควบคุม พลเมืองพร้อมทั้งได้เตรียมหล่อหลอมประชาชนให้เป็นพลเมืองที่ดีของชาติใน อุดมคติระยะยาว โดยใช้ศาสนาพุทธมาเป็นเครื่องมือใช้สอนเพื่อสร้างวินัยแก่สังคม ทั้งรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ทรงแต่งตั้งสมาชิกพระราชวงศ์ให้มาเป็นพระสังฆราชอย่างต่อเนื่องควบคุมมหา เถรสมาคมและการฝึกอบรมพระสงฆ์ ให้มีระเบียบปฏิบัติและมีวินัยเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยได้ออกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2445 จัดลำดับการปกครองคณะสงฆ์ตั้งแต่ระดับบนสุดคือกษัตริย์และพระสังฆราชลงมา ให้พระสงฆ์ต้องเรียนจากหลักสูตรมาตรฐาน มีการจัดสอบระดับคุณวุฒิจากส่วนกลาง กำหนดการเทศนาสั่งสอนจากตำราซึ่งทางการอนุมัติแล้ว วัดใหม่ต้องสร้างตามแบบที่กำหนดเป็นมาตรฐาน กรมวชิรญาณทรงชักชวนพระสงฆ์ที่ล้านนาให้ยกเลิกประเพณีเดิมและทรงรวบรวมพระ สงฆ์ที่มีชื่อจากอีสานและภาคใต้ให้เข้ามาอยู่ในธรรมยุต มีการจัดทำตำรามาตรฐานเพื่อใช้ในโรงเรียนตามพรบ.การศึกษาที่บังคับให้เด็ก ทุกคนต้องเรียนจบชั้นประถมศึกษาในปี 2464

เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (มรว. เปีย มาลากุล) ผู้สืบเชื้อสายจากตระกูลขุนนางและเคยบวชในนิกายธรรมยุตและเคยเป็นเลขานุการ ของกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้เขียนหนังสือสมบัติผู้ดีเพื่อเป็นหลักปฏิบัติ ของข้าราชการในอุดมคติและเป็นหลักการประพฤติตนให้กับนักเรียนและพลเมืองทั่ว ไป พร้อมกันนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของสถาบันกษัตริย์สู่ความทันสมัย อลังการ เริ่มด้วยการเปลี่ยนพระคลังข้างที่เป็นกรมพระคลังข้างที่ให้มีหน้าที่ลง ทุนพระราชทรัพย์ของสถาบันกษัตริย์ในธุรกิจต่างๆโดยได้เงินงบประมาณ 5 - 20% ของรายได้รัฐขณะนั้น มีการลงทุนในโรงสีข้าว สร้างห้องแถวบนถนนตัดใหม่ของกรุงเทพฯ และสร้างตลาดในย่านการค้าต่างจังหวัด จนกลายเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ที่สุดของประเทศและยังร่วมทุนกับต่างชาติ เพื่อก่อตั้งวิสาหกิจในกิจการรถไฟ ไฟฟ้า ธนาคาร ปูนซิเมนต์ เหมืองถ่านหินและกิจการเรือกลไฟ

รัชกาลที่ 5 ทรงก่อตั้งอภิรัฐมนตรี ประกอบด้วยเสนาบดี 12 คน โดยแต่งตั้งพระเชษฐาหรือพระอนุชาเป็นเสนาบดีถึง 9 ตำแหน่ง พร้อมทั้งส่งพระราชโอรสองค์โต 4 พระองค์ไปศึกษาที่ต่างประเทศและได้แต่งตั้งให้มีตำแหน่งระดับสูงหลังจบการ ศึกษา

ชนชั้นนำของไทยหันมานิยมชมชอบตะวันตก ขณะที่พยายามสร้างมรดกทางวัฒนธรรมของตนเองให้โดดเด่นโดยพยายามฟื้นฟูรักษา วัฒนธรรมราชสำนักสยามสมัยอยุธยาเอาไว้ทั้งการแสดงโขนรามเกียรติ์รวมทั้งการ ตั้งชื่อสถานที่ต่างๆเสียใหม่โดยใช้คำสันสกฤติหรือบาลีเพราะฟังดูแล้วไพเราะ และมีระดับมากกว่าคำไทยหรือคำลาวของคนธรรมดาสามัญ

รัชกาลที่ 5 ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างชาติประเทศที่ต้องมีประวัติศาสตร์สืบ ย้อนหลังไปเป็นพันปีเหมือนนานาอารยประเทศจึงทรงจัดตั้งสมาคมโบราณคดีในปี 2450 เพื่อจัดรวบรวมประวัติศาสตร์ชาติสยาม ในปีต่อมารัชกาลที่ 6 ได้เสด็จประพาสสุโขทัยและทรงนำเนื้อหาในศิลาจารึกโดยทรงร่วมกับกรมพระยาดำรง ราชานุภาพสร้างประวัติศาสตร์ชาติไทยให้คนไทยได้ภูมิใจว่าชาติไทยมีประวัติ ศาสตร์สืบต่อมายาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัยต่อเนื่องมาจนถึงอยุธยา ธนบุรีและรัตนโกสินทร์ กรมพระยาดำรงทรงนิพนธ์งานเขียนทางประวัติศาสตร์กว่า 50 เล่ม โดยเฉพาะเรื่องไทยรบพม่าที่กลายเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ไทยที่ทำให้คนไทย ได้เห็นว่าพม่าคือศัตรูของไทยตลอดกาล ให้กษัตริย์ไทยเป็นศูนย์กลางของประวัติศาสตร์โดยเฉพาะพระนเรศวรและรัชกาลที่ 1 ที่เป็นวีรบุรุษผู้ปกป้องอิสรภาพของชาติอย่างกล้าหาญ โดยบรรยายถึงการเสียกรุงทั้งสองครั้งอย่างยืดยาวในปี 2112 และ 2310 ว่าเป็นความหายนะครั้งใหญ่ของชาติไทยที่เกิดจากการขาดความสามัคคีของคนใน ชาติโดยยกเอาสามัญชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทยคือบ้านบาง ระจันที่ต่อสู้กับพม่าอย่างอาจหาญในปี 2310 กรมพระยาดำรงได้ให้คำจำกัดความของความเป็นไทยว่าหมายถึงความรักในอิสระ ความรักสงบและความฉลาดในการประสานประโยชน์หล่อหลอมขึ้นเป็นชนชาติไทยที่มี ความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์และใช้ภาษาไทย

ในช่วงปลายรัชกาลที่ 5 กรมพระยาดำรงฯทรงนิยามลักษณะของพระมหากษัตริย์ให้เป็นผู้นำความเจริญมาสู่ สยาม กรมพระยาดำรงได้ทรงเรียบเรียงปรับแต่งพงศาวดารของรัตนโกสินทร์สมัยต้นๆอย่าง พิถีพิถัน ทรงอธิบายว่ากษัตริย์ราชวงศ์จักรีจำเป็นต้องครอบงำรัฐบาลเพราะแต่ละพระองค์ ล้วนได้รับการศึกษาด้านการปกครองและได้ทรงทำงานอุทิศพระองค์เพื่อราษฎรทำให้ ได้รับความนิยมนับถืออย่างกว้างขวางจึงสามารถสืบต่อสถานภาพดังกล่าวสู่ผู้ สืบราชสมบัติ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยึดการปกครองตามรัฐธรรมนูญซึ่งจะเท่ากับเป็นการ ถอยหลัง เพราะถ้าไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน บ้านเมืองก็จะเกิดจลาจลอย่างแน่นอน การสร้างชาติไทยจึงไม่ใช่การรวมตัวของประชาชนหลากหลายประเภทและเผ่าพันธุ์ แต่เป็นเรื่องของความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวอันศักดิ์สิทธิ์ภายใต้สถาบันพระ มหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

ในปี 2471 ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) พิมพ์หนังสือหลักไทยจากข้อมูลการศึกษาของชาวฝรั่งเศสผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีน อ้างว่าคนเชื้อสายไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไตอันเป็นถิ่นกำเนิดของพวกเชื้อ สายมองโกลและได้แสดงแผนที่ของดินแดนที่สูญเสียไปจากการทำสนธิสัญญากับ ฝรั่งเศสที่อินโดจีนซึ่งรวมทั้งเขมรและลาวเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นมาที่ ยิ่งใหญ่ของชนชาติไทย ต่อมาพลตรีหลวงวิจิตรวาทการได้ดัดแปลงไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์สากลในปี 2472 เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ชาติไทยให้มีที่มาที่ยาวนานในประวัติศาสตร์โลกเคียง บ่าเคียงไหล่ประเทศอื่นๆ

ดร.ซันยัดเซ็นผู้นำจีนเยือนกรุงเทพฯในปี 2451 เพื่อเรี่ยไรเงินเอาไปรณรงค์ล้มจักรพรรดิจีนและก่อตั้งธารณรัฐจีน คนจีนในเมืองไทยสนับสนุนเขาเต็มที่ พรรคก๊กมินตั๋งของซุนยัดเซ็นอุดหนุนหนังสือพิมพ์จีนที่กรุงเทพฯให้สนับสนุน ความคิดชาตินิยมและการปฏิวัติ รัฐบาลไทยเป็นกังวลที่ชุมชนจีนในไทยเข้าพัวพันกับการเมืองจีนและกลัวว่าแนว คิดระบอบสาธารณรัฐและการปฏิวัติจะชักนำให้คนไทยอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงใน สยามด้วย แม้แต่นายปรีดี พนมยงค์ก็ได้แรงบันดาลใจจากการโฆษณาของก๊กมินตั๋งที่ตลาดอยุธยา จากนั้นก็เกิดกบฏร.ศ. 130 โดยกลุ่มทหารที่มีแผนการล้มล้างกษัตริย์ 4 เดือนหลังจากที่ซุนยัดเซ็นโค่นล้มราชวงศ์แมนจูในปี 2454

ราชสำนักเริ่มหวั่นวิตกจากการขยายตัวของชาวจีนกลุ่มใหม่ที่เข้าครอบงำการลุง ทุนและเป็นส่วนใหญ่ของคนงานในเมือง คนจีนนัดหยุดงานครั้งใหญ่ทำให้กรุงเทพเป็นอัมพาตถึง 3 วันในเดือนมิถุนายน 2453 มีชาวจีนอพยพเข้ามาอีกระลอกใหญ่ในทศวรรษที่ 2460 และ 2470 อีกราว 500,000 คน รัชกาลที่ 6 ทรงเอาอย่างชนชั้นอภิสิทธิ์ชนในยุโรปซึ่งปราบชาวยิวและดูถูกคนจีน ทรงกล่าวหาว่าชาวจีนปฏิเสธที่จะปรับตัวรับวัฒนธรรมสยาม ขาดความจงรักภักดี อยากมีอภิสิทธิ์ บูชาเงินเป็นพระเจ้าและเป็นกาฝากทางเศรษฐกิจ ขณะที่รัฐบาลสยามผ่อนปรนต่อพวกเจ้าสัวขุนนางหรือพ่อค้าใหญ่ แต่ลูกจ้างชาวจีนที่นัดหยุดงานจะถูกจำคุกหรือเนรเทศ พรรคก๊กมินตั๋งมีกลุ่มนักธุรกิจชั้นนำสนับสนุนโดยมีหอการค้าจีนอยู่หน้าฉาก มีสมาชิกก๊กมินตั๋งในสยามถึง 20,000 คน เมื่อเจียงไคเช็กประกาศกำจัดฝ่ายคอมมิวนิสต์ออกไปจากก๊กมินตั๋งที่เซี่ยงไฮ้ ในปี 2470 ได้มีนักเคลื่อนไหวหลายคนหนีมาอยู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งสยาม รัชกาลที่ 6 ทรงระบุชาวจีนเป็น 1 ใน 7 ปัญหาของสยามที่หลั่งไหลอพยพเข้ามาจำนวนมากมายโดยตั้งใจคงความเป็นจีนเอาไว้ และยังได้นำความคิดใหม่ที่เป็นอันตรายเข้ามาเผยแพร่และยังมาแย่งการทำมาหา กินของคนไทย
มาถึงสมัยรัชกาลที่ 7 เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในปี 2472 และได้มีการวิจารณ์ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างรุนแรง จนนำไปสู่การปฏวัติของคณะราษฎรในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 จอมพล ป.เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องการปลุกกระแสความเป็นไทย เมื่อได้เป็นนายกรัฐมนตรีในเดือนธันวาคม 2481 ต่อมาได้ตั้งตนเองเป็นจอมพลในปี 2484 และเป็นท่านผู้นำในปี 2485 โดยมีหลวงวิจิตรวาทการรับหน้าที่ปลูกฝังความเชื่อว่าความเป็นไทยคือความเป็น อิสระเสรี เขียนบทละครเชิดชูพระนเรศวรและพระเจ้าตากสินรวมทั้งสามัญชนและผู้หญิง ทั้งเรื่องเลือดสุพรรณ ท้าวเทพกษัตรีย์และท้าวศรีสุนทรในศึกถลาง

ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ( Corrado Feroci ) ประติมากรชาวอิตาเลียนได้สร้างสรรค์ปั้นรูปอนุสาวรีย์เชิดชูสามัญชนทั้งที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อนุสาวรีย์ท้าวสุนารีและชาวบ้านบางระจัน พร้อมทั้งบทละคร เพลง ภาพยนต์และวิทยุเพื่อปลูกฝังความรักชาติไทย กองทัพญี่ปุ่นบุกเข้าประเทศจีนในเดือนกรกฎาคม 2481 เกิดการจัดตั้งองค์กรและหนังสือพิมพ์ต่อต้านญี่ปุ่นในสยาม ชาวจีนร่วมกันขายพันธบัตรสงครามส่งข้าวและสิ่งของไปช่วยก๊กมินตั๋งรบกับ ญี่ปุ่น เกิดการคว่ำบาตรสินค้าญี่ปุ่น แต่รัฐบาลจอมพล ป. ไปผูกมิตรกับญี่ปุ่นจึงต้องพยายามจำกัดบทบาทของชาวจีน โดยเพิ่มค่าธรรมเนียมคนจีนอพยพเข้าไทยเป็นสองเท่า ปิดธนาคาร 2 แห่งที่ส่งเงินกลับไปประเทศจีน จับกุมอั้งยี่ ปิดหนังสือพิมพ์จีนแทบทุกฉบับ เข้มงวดกวดขันและปิดโรงเรียนจีนไปหลายแห่ง รัฐบาลหันมาสร้างเศรษฐกิจนิยมไทยเพื่อรับภาวะสงคราม ฝ่ายทหารในคณะราษฎรวางแผนจะทวงคืนดินแดนที่เสียไปกับตะวันตก กระทรวงกลาโหมพิมพ์ชุดแผนที่แสดงเรื่องราวการอพยพของชาวไตหรือไท หลวงวิจิตรวาทการเริ่มรณรงค์เรียกร้องดินแดนที่เสียไปโดยเฉพาะในเขมรและลาว รายการวิทยุของทหารพูดถึงการสร้างมหาอาณาจักรไทยเลียนแบบฮิตเลอร์เพื่อสร้าง ตนให้เป็นมหาอำนาจในภูมิภาค กำหนดให้วันที่ 24 มิถุนายนเป็นวันชาติ รัฐบาลได้ออกแบบแผนให้ประชาชนพึงยึดถือปฏิบัติเรียกว่ารัฐนิยมมี 12 ประการเพื่อสร้างชาติและวัฒนธรรมขึ้นใหม่ในปี 2482 และเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นประเทศไทยเพื่อให้ถูกต้องตามชื่อเชื้อชาติ และความนิยมของชาวไทย มีการสวนสนามและการแสดงทางวัฒนธรรม รัฐบาลผ่านพ.ร.บ.สงฆ์ในปี 2485 ลดบทบาทธรรมยุตินิกาย ลดอำนาจของพระสังฆราชที่กษัตริย์แต่งตั้งและเพิ่มอำนาจของสภาสงฆ์ ให้คนไทยต้องแสดงความเคารพต่อสัญลักษณ์ของชาติ เช่น ธงชาติ และเพลงชาติ ทักทายกันด้วยคำว่า สวัสดี มีการก่อตั้งสภาวัฒนธรรมเพื่อให้นิยามและเผยแพร่ขยายวัฒนธรรมไทย ให้ชาติไทยเป็นหนึ่งเดียว ลบคำว่าลาว เงี้ยวและคำบรรยายอื่นๆเกี่ยวกับเชื้อชาติที่ไม่ใช่ไทย คนไทย จัดการโฆษณาเรื่องความมั่นคงของชาติผ่านรายการวิทยุ เมื่อฝรั่งเศสพ่ายแพ้แก่ฮิตเลอร์ และญี่ปุ่นบุกเข้าอินโดจีน จอมพล ป. ได้ฉวยโอกาสส่งทหารข้ามชายแดนไปยึดครองบางส่วนของเขมรที่ฝรั่งเศสครอบ ครองอยู่ จอมพล ป. ประกาศชัยชนะเหนือฝรั่งเศสและจัดพิธีสวนสนามเฉลิมฉลองการก่อสร้างอนุสาวรีย์ ชัยสมรภูมิโดยศิลป์ พีระศรี

ฝ่ายนิยมระบอบกษัตริย์ได้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในสมัยจอมพลสฤษดิ์ที่ รุ่งเรืองขึ้นมาจากการอุปถัมภ์ของสหรัฐ เป็นพวกนิยมระบอบเผด็จการทหารเบ็ดเสร็จที่ปฏิเสธระบอบรัฐสภาและสยบฝ่าย ค้านอย่างราบคาบด้วยข้อหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ มีโครงการให้ประชาชนยอมรับความเป็นหนึ่งเดียวที่เป็นไทยทั้งด้านภาษา ศาสนาและวัฒนธรรมอย่างแข็งขันด้วยการบังคับให้ประชาชนต้องมีการปฏิบัติเป็น แบบเดียวกันโดยเฉพาะภาคอีสานที่ประชาชนส่วนใหญ่พูดภาษาลาว ที่อิสานใต้ก็พูดเขมร ส่วนที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็นับถือศาสนาอิสลามและพูดภาษามลายู แต่รัฐบาลตั้งแต่สมัยจอมพล ป. พยายามให้คนใต้เหล่านี้พูดภาษาไทย แต่งตัวแบบไทย บังคับให้ปิดโรงเรียนปอเนาะและเลิกใช้ศาลอิสลาม ทำให้เกิดการต่อต้านจากผู้นำศาสนาอิสลาม โดยมีประชาชนลุกขึ้นสู้ที่ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส มีผู้เสียชีวิตราม 600 คน ที่ภาคเหนือบริเวณภูเขาสูงมีชาวเขาประมาณ 250,000 คน ก็ถูกฝ่ายรัฐบาลปราบปรามโดยทิ้งระเบิดนาปาล์มเหนือหมู่บ้านชาวเขา

รัฐบาลทหารต้องการสร้างชาติไทยที่เป็นหนึ่งเดียว โดยทุกคนต้องพูดภาษาไทยกลาง จงรักภักดี นับถือศาสนาพุทธ ร่วมกันมุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจ นายพลไทยและสหรัฐร่วมกันฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์เพื่อให้เป็นศูนย์รวมความ สามัคคี และส่งเสริมบทบาทในการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนประชาชนจังหวัดต่างๆทั่ว ทุกภาคของประเทศ ฟื้นฟูพระราชพิธีทอดผ้าพระกฐิน สหรัฐอุดหนุนโครงการผลิตพระบรมฉายาลักษณ์เพื่อแจกจ่ายแก่พสกนิกรทั่วประเทศ แก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2484 ของจอมพล ป.ที่จำกัดบทบาทของกษัตริย์ในสถาบันสงฆ์หวนกลับไปสู่ระบบการจัดองค์กรสงฆ์ สมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี 2445 ยกสถานะของนิกายธรรมยุติขึ้นควบคุมมหาเถระสมาคม แต่งตั้งม.ล. ปิ่น มาลากุลเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ มีการชำระแบบเรียนให้เน้นกษัตริย์เป็นศูนย์รวมของชาติและเป็นผู้บริหาร จัดการเผยแพร่ภาพยนต์พระราชกรณียกิจการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนพสกนิกร ผ่านสื่อโทรทัศน์สร้างภาพของกษัตริย์ที่ทรงงานเหนื่อยยากเพื่อราษฎร ขณะที่กษัตริย์ก็เปิดโครงการรับเงินบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราช อัธยาศัยพร้อมทั้งการฟื้นฟูการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สร้างความสัมพันธ์ทั้งกับข้าราชการและนักธุรกิจที่กำลังรุ่งเรืองและสร้าง บุญคุณแก่ประชาชน รวมไปถึงการพระราชทานน้ำสังข์สมรสและการพระราชทานเพลิงศพ

ขณะที่จีนก็กลับมาผงาดเป็นเจ้าทางเศรษฐกิจในต้นทศวรรษที่ 2530 เศรษฐกิจของไทยไม่ได้พึ่งการเกษตรเป็นหลักอีกต่อไป เศรษฐกิจที่เฟื่องฟูโดยเฉพาะที่กรุงเทพทำให้นักธุรกิจในเมืองซึ่งส่วนใหญ่ เป็นคนไทยเชื้อสายจีนทายาทรุ่นที่ 3 เป็นอย่างน้อย ได้มีบทบาทนำทั้งในแวดวงธุรกิจ ข้าราชการและนักวิชาชีพ นักธุรกิจเชื้อสายจีนพวกนี้ได้กลายมาเป็นพลเมืองของชาติไทยโดยสมบูรณ์และได้ หล่อหลอมให้มีวัฒนธรรมแบบใหม่ผสมผสานระหว่างไทยกับจีน

จะว่าไปแล้วคำว่าชาติเชื้อไทย ก็คงเป็นเพียงวาทกรรมหรือการโฆษณาชวนเชื่อของชนชั้นที่คุมอำนาจของรัฐไทย เพื่อไว้หลอกลวงให้ประชาชนในประเทศให้ยอมสยบอยู่ภายใต้อำนาจของพวกตนตลอดไป เท่านั้นเอง................

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น