ฟังเสียงพร้อมเพลงประกอบ : http://www.4shared.com/mp3/U52FNcjp/The_Royal_Legend_034_.html
หรือ : http://www.mediafire.com/?swovv4ru3s3a99y
.....................
กษัตริย์ภูมิพลทรงเลือกนายธานินทร์ กรัยวิเชียรเป็นนายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา และเรียกแนวทางของพระองค์ว่า ธรรมาธิปไตย
เป็นการปกครองแบบพุทธยุคใหม่ที่ ประชาชนจะต้องมีคุณค่าที่สมบูรณ์
และเพียบพร้อมในตนเอง ก่อนที่ประชาธิปไตยจะบังเกิด
คืออุดมการณ์ที่เน้นความเป็นเชื้อชาติไทย เป็นชาวพุทธที่เอาแต่ปกป้องเทิดทูนสถาบันกษัตริย์ รวมถึงการสนับสนุนทหารให้แผ่ขยายอำนาจด้วยวิธีการรุนแรงและบีบบังคับ เป็นทิศทางที่พระเจ้าอยู่หัวทรงมุ่งปฏิบัติในปี 2519
ทรงสนับสนุนกระแสคลั่งชาติสุดโต่ง ที่โจมตีและสร้างความแตกแยกในสังคม ด้วยการหันไปเป็นปฏิปักษ์ต่อนักประชาธิปไตย
เพื่อปกป้องราชบัลลังก์ โดยทรงลืมสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาของประเทศ
ความอุบาทว์วิปริตของเหตุการณ์ 6 ตุลา
กลับทำให้พระองค์มีพระปณิธานที่เข้มแข็งดื้อรั้นยิ่งขึ้น และทรงอุปถัมถ์สนับสนุนเผด็จการทหารอย่างเต็มขั้น
ทำ
ให้ทรงมีโอกาสตั้งรัฐบาลของพระองค์เองและปกครองราชอาณาจักรของอย่างแท้จริง
เป็นครั้งแรก
โดยมีนายธานินทร์เป็นตัวแทนพระเจ้าอยู่หัวปราบปรามฝ่ายซ้ายอย่างไม่ปรานี
ปราศรัย โอนคดีอาญาไปให้ศาลทหาร และตำรวจได้รับอำนาจจับใครกักขังก็ได้ถึงหกเดือน โดยไม่ต้องแจ้งข้อหา เพิ่มโทษกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้โหดยิ่งขึ้น มีโทษจำคุก 3 ถึง 15 ปี ทรง
มีพระบรมราโชวาทว่านักศึกษาไม่มีหน้าที่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
ควรตั้งใจเรียนอย่างเงียบๆ
และปล่อยให้บ้านเมืองเป็นเรื่องของผู้นำและข้าราชการ
ขณะที่นักศึกษากล่าวหานายธานินทร์ ว่าไม่เคยสอบสวนเหตุการณ์สังหารหมู่ 6
ตุลาหรือจับกุมผู้กระทำความผิด
แต่ผู้ก่อการรัฐประหารกลับได้รับพระราชทานอภัยโทษ
มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมชก็
ได้เย้ยหยันนายธานินทร์ ว่าเป็นเหมือนเด็กตาใสพูดถึงอุดมการณ์
การเสียสละและการพัฒนาชนบทชาวบ้านไม่มีทางเลือกนอกจากเข้าร่วมกับ
คอมมิวนิสต์ เพราะรัฐบาลธานินทร์เพิกเฉยโดยสิ้นเชิง
ต่อปัญหาสำคัญทั้งหลายทั้งปวง อันเป็นความเป็นความตายของเกษตรกร
ที่ภาคใต้ใครที่ดูน่าสงสัยก็จะถูกหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
ถูกจับกุมและหายตัวไปเลย
มรว.คึกฤทธิ์บอกเป็นนัยว่าตัวปัญหาที่แท้จริงคือพระราชินีสิริกิติ์ที่เอาแต่ใจ และเสนอทางถอยให้ในหลวง แต่ในหลวงไม่ยอมถอย ไม่ทรงเห็นว่าการปราบปรามคอมมิวนิสต์แบบตาต่อตาของธานินทร์จะแย่ตรงไหน
หลังจากพล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ (Kriangsak Chomanan)
ได้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดในต้นเดือนตุลาคม
เขากับยังเติร์กบีบให้นายกธานินทร์ปลดนายสมัครออก
นายธานินทร์ตอบว่ารัฐบาลของเขาเป็นรัฐบาลพระราชทาน
จะอยู่หรือจะไปก็ต้องพร้อมกัน แต่การเอาหลังพิงวังคราวนี้ไม่สำเร็จ วันที่
20 ตุลาคม 2520 ทหารหลายคันรถก็จัดการรัฐประหารโดยได้รับการยอมรับในหมู่ชนชั้นนำจำนวนมากโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ
แต่การรัฐประหารของพล.อ.เกรียงศักดิ์ครั้งนี้ไม่ได้รับอนุมัติจากวัง แต่เป็นการลบหลู่อย่างใหญ่หลวงต่อความเป็นหนึ่งในสยามของในหลวงภูมิพล ทำให้พระองค์เสียศักดิ์ศรีไปไม่น้อย พลพรรคชาววังได้แพร่กระจายข่าว อย่างเปิดเผยว่าในหลวงไม่ค่อยพอพระทัยกับ
การรัฐประหารคราวนี้
เพราะพระองค์ยอมรับการเปลี่ยนรัฐบาลตามครรลองประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญเท่า
นั้น และในหลวงภูมิพลตรัสว่า
การรัฐประหารของเกรียงศักดิ์ทำให้ประเทศไทยดูตกต่ำเป็นราชอาณาจักรกล้วยหอม เหมือนสาธารณรัฐกล้วยหอม
(Banana Republic) คือประเทศเล็กๆในอเมริกาใต้ที่การเมืองไม่มั่นคง
มีการยึดอำนาจกันเป็นประจำและมักจะมีผลผลิตหลักเป็นพืชผลทางเกษตร เช่น
กล้วยหอม
นายกเกรียงศักดิ์สัญญาจะให้เสรีภาพแก่สื่อมวลชน ยกเลิกกฎอัยการศึก และสานสัมพันธ์กับอินโดจีน จีนและสหภาพโซเวียต เขาบอกว่าแผนจุฬาลงกรณ์ ของนายธานินทร์ที่จะคืนประชาธิปไตย ภายใน 12 ปีนั้นนานเกินไป และให้คำมั่นที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และจัดการเลือกตั้งภายในปี 2522
นายก
เกรียงศักดิ์พยายามจัดการแก้ปัญหาในรายงานธนาคารโลกปี 2521 ที่ระบุว่าคนไทย
9 ล้านคนยังคงแร้นแค้นยากจน รายได้คนชนบทกับคนชั้นล่างในเมืองลดลงเรื่อยๆ
เป็นการสวนทางความเชื่อของพวกนิยมกษัตริย์
ที่ว่าการมีพระเจ้าอยู่หัวจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพสกนิกรดีขึ้น
รัฐบาลเกรียงศักดิ์ยังประกาศประนีประนอมกับพวกคอมมิวนิสต์ โดยให้หลักประกันความปลอดภัย และความยุติธรรมแก่นักศึกษาที่กลับออกมาจากป่า ความริเริ่มเหล่านี้ได้รับความเห็นพ้องอย่างกว้างขวาง
กระนั้นกษัตริย์ภูมิพลก็ยังทรงทำประชดแดกดันนายกเกรียงศักดิ์ โดยทรงตั้งนายธานินทร์เป็นองคมนตรีอย่างเอิกเกริก
เพื่อชดเชยการร่วงลงจากอำนาจอย่างยับเยินหมดสภาพ
ทรงจำกัดการข้องแวะกับนายกเกรียงศักดิ์ในทางสาธารณะ
และไม่ยอมทรงเครื่องแบบทหารในวาระต่างๆ
ทั้งยังทรงหน่วงเหนี่ยวการนิรโทษกรรมสำหรับนักศึกษา 18 คนไปอีกหนึ่งปี
เพราะทรงไม่สบอารมณ์ แถมคิดจะแต่งตั้งนายสมัครเป็นหัวหน้าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ นายกเกรียงศักดิ์ปรามกลุ่มอันธพาลการเมืองที่เคยก่อความวุ่นวายในปี 2519 โดยเข้ากุมตชด. ลดสายสัมพันธ์ของตชด.กับลูกเสือชาวบ้าน นวพลหายไป กระทิงแดงถูกส่งไปสู้รบบริเวณชายแดนซึ่งตายไปหลายคน นายกเกรียงศักดิ์ได้ลดระดับการสู้รบทางทหาร เพื่อเริ่มยุทธศาสตร์ใหม่ที่เน้นการเอาชนะใจพวกคอมมิวนิสต์ รัฐบาลประกาศนิรโทษกรรมแก่นักศึกษา 18 คนในเดือนกันยายน 2521 ประจวบเหมาะกับที่ พคท.เริ่มแตกกันเอง
นายกเกรียงศักดิ์ขอให้ฮานอย ปักกิ่งและเวียงจันทน์ลดการช่วยเหลือพคท.ไม่
นานสมาชิกระดับสูงของพคท.บางส่วนก็ยอมแพ้และกลับมากรุงเทพฯ
การนิรโทษกรรมดึงคนออกจากป่าได้ราว 400 คนในปี 2521
นับเป็นจุดเริ่มต้นการเสื่อมสลายของพคท.
รัฐบาล
เกรียงศักดิ์ต้องการให้วังเป็นกลางทางการเมือง
จึงจำกัดกิจกรรมลูกเสือชาวบ้าน
ในหลวงภูมิพลจึงต้องหวนกลับมาใช้วิธีเดิมเหมือนตอนแรกๆที่ขึ้นครองราชย์ คือ
เร่งขยายงานพระราชพิธีและพระราชกรณียกิจ เพื่อสร้างพระบุญญาบารมี
และยังได้เสริมเครือข่ายพันธมิตรของวัง ด้วยการแจกเครื่องราชแก่ข้าราชการและทหารชั้นสูง ซึ่งบรรดาภรรยาจะได้คำนำหน้าชื่อ เป็นท่านผู้หญิงกับคุณหญิง
เครื่องราชขึ้นกับจำนวนเงินที่บริจาคที่เติบโตขึ้นจากการโฆษณาชวนเชื่อให้คน
เกลียดกลัวภัยคอมมิวนิสต์หรือผกค.
มีการแลกเปลี่ยนกับเครื่องรางของขลังของพระองค์
ในการออกงานที่วัดแห่งหนึ่งในเยาวราชย่านพ่อค้าชาวจีน ได้มีผู้บริจาค 120
คนรับพระราชทานพระเครื่องด้วยราคาถึงองค์ละ 20,000 บาท
การทํา
รัฐประหารของพลเอกเกรียงศักดิ์ล้มรัฐบาลธานินทร์ที่เป็นตัวแทนของพระเจ้า
อยู่หัวในปี 2520
ทำให้พระองค์ตระหนักว่าการมีร่างทรงที่เป็นพลเรือนนั้นไม่เพียงพอ พระองค์จำต้องมีขุนทหารที่เป็นมือเป็นเท้าของพระองค์
และสามารถกุมกองทัพไว้ในมือได้เพื่อสนองพระราชประสงค์ได้อย่างเต็มที่และ
อย่างมั่นคง บุคคลที่ดูจะมีคุณสมบัติเพียบพร้อมในสายพระเนตร คือพลเอกเปรม รัฐมนตรีคนหนึ่งรัฐบาลเกรียงศักดิ์ ซึ่งทรงต้องผลักดันพลเอกเปรมให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ (Prem Tinsulanond ) เกิดเมื่อ 26 สิงหาคม 2463 แก่กว่าในหลวง 7 ปี เป็นคนสงขลา เป็นทหารอาชีพ เป็นผู้บังคับบัญชาที่มีความเข้มงวดสูง แต่ลูกน้องรัก เป็นสมาชิกสภาหลายสมัยติดต่อกัน เป็นแม่ทัพภาคที่สองรับ
ผิดชอบพื้นที่ภาคอิสาน
ทำสงครามปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์โดยใช้การเมืองนำการทหาร
ผสานการพัฒนาสังคมกับการทางทหารที่เด็ดขาด
และเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกอรมน.ที่มีเพื่อนเก่าแก่ที่สุดคนหนึ่งคือพล
ตรีสุตสาย หัสดินที่เป็นหัวหน้ากระทิงแดง
เปรมเป็นคนพูดเบามากและเคารพระบบอาวุโสและลำดับชั้นอย่างเข้มงวด เป็นคนที่สุภาพเรียบร้อยมาก จนไม่มีใครสามารถเปิดเผยรสนิยมรักร่วมเพศของเขาได้ เป็นคนหนักแน่น และมีวินัย แต่ค่อนข้างเจ้าเล่ห์
ไม่ตรงไปตรงมา ถนัดเรื่องลับลวงพรางและปิดบังเส้นสายพรรคพวกของตน
ชอบเล่นพรรคเล่นพวกและการประจบสอพลอจากผู้ใต้บังคับบัญชา
เป็นพวกเจ้ายศเจ้าอย่างทำตัวเหมือนเป็นเชื้อพระวงศ์ ที่ไม่ส่งเสริมทหารอาชีพแบบที่ตนเองได้เคยเป็นมา เป็นคนพูดน้อย
ในเดือนสิงหาคม 2521 นายกเกรียงศักดิ์เตรียมเสนอชื่อพลเอกเสริม ณ นคร ควบตำแหน่งผบ.สูงสุด และ ผบ.ทบ. แต่มรว.คึกฤทธิ์ได้เขียนลงสยามรัฐสนับสนุนพลเอกเปรม เชื่อกันว่าเป็นการส่งสัญญาณจากวัง และนายกเกรียงศักดิ์ก็เสนอชื่อพลเอกเปรม เป็นผบ.ทบ.จากผู้ช่วยผบ.ทบ.เพียงปีเดียว
และพลเอกเปรมยังได้ย้ายคนของตนเข้ากุมตำแหน่งสำคัญ
เพิ่มอำนาจต่อรองในวุฒิสภา
พลเอกเปรมวิจารณ์โจมตีรัฐบาลเกรียงศักดิ์อย่างหนัก มรว.คึกฤทธิ์
หัวหน้าพรรคกิจสังคมก็ยื่นเรื่องขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเกรียง
ศักดิ์ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2523
และกลุ่มยังเติร์กที่เคยหนุนเกรียงศักด์ขึ้นสู่อำนาจ
ก็หันมาสนับสนุนให้พลเอกเปรมขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
ในหลวงภูมิพลโปรดฯ ให้นายกเกรียงศักดิ์และพลเอกเปรมเข้าเฝ้าฯที่เชียงใหม่ ใน
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2523 ในวันถัดมา นายกเกรียงศักดิ์ก็ลาออก
และพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงสั่งให้มรว.คึกฤทธิ์ต้องเรียกประชุมสภา
เพื่อสนับสนุนพลเอกเปรมเป็นนายกฯ
โดยพลเอกเปรมได้กล่าวคําปฎิญาณในการรับตำแหน่งในวันที่ 3 มีนาคม 2523ว่า
ตนเป็น รัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พลเอกเปรมเข้าใจดีว่าพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลไม่มีพระประสงค์ที่จะบริหารราชการแผ่นดินแบบวันต่อวัน แต่ทรงต้องการให้มีคนที่ไว้ใจได้คอยรับสนองพระบรมราชโองการหรือพระราชประสงค์เป็นครั้งคราวเท่านั้น พลเอกเปรมได้เปิดศักราชใหม่ของการประจบประแจงเทิดทูนวัง
ขณะที่พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงทำการแทรกแซงอย่างไม่กระดากพระทัยเป็นประจำ
ส่วนพลเอกเปรมก็ไม่มีความเหนียมอายที่จะเอาหลังพิงวังจนเป็นที่ทราบกันดีว่า
เมื่อใดก็ตามที่พลเอกมีรอยฟกช้ำดำเขียว เขาก็จะตรงเข้าวังเพื่อฉีดยาและกระชุ่มกระชวยกลับออกมา และเมื่อพลเอกเปรมโผล่ออกมาจากสวนจิตร บรรดาปรปักษ์ของเขาก็จะพากันหดหัวไปอย่างรวดเร็ว การบริหารราชการของพลเอกเปรมจึงมีแต่การเล่นพรรคเล่นพวกที่ประจบเอาใจวัง ทำให้กองทัพเต็มไปด้วยการแบ่งพรรคแบ่งพวกกับความหย่อนยานทางวินัย รัฐบาลจึงไม่มีเสถียรภาพและมีหลายครั้งที่ปั่นป่วนรุนแรง
พลเอกเปรมได้ขยายอำนาจทางทหารในรูปของคำสั่งนายกรัฐมนตรี 66/2523 และ 65/2525 เปลี่ยนนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ขนานใหญ่ ทำให้กองทัพมีบทบาทครอบงำการบริหารประเทศ มีอำนาจเหนือรัฐสภาและรัฐธรรมนูญ
พลเอกเปรมเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2523 โดยควบตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมและผบ.ทบ. ซึ่ง
เป็นสิ่งที่ไม่ควร แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงโปรดเกล้าฯเห็นดีเห็นงาม
แต่ก็ยอมๆกันไป เพราะว่าพลเอกเปรมจะเกษียณจากทหารเมื่ออายุ 60
ในเดือนตุลาคมปีนั้น
แต่พอปลายสิงหาคม 2523 นายทหารที่นำโดยพล.ต.อาทิตย์ กำลังเอก
ดาวรุ่งและคนโปรดของพระราชินีสิริกิติ์
เรียกร้องให้ต่ออายุราชการของพลเอกเปรม ในวันที่ 1 กันยายน 2523
พลเอกเปรมก็กลับออกมาจากการเข้าเฝ้าในหลวงและประกาศว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุนการต่ออายุราชการให้
ตน เมื่อรัฐมนตรีเรียกร้องขอข้อพิสูจน์ พวกเขาก็ถูกเรียกให้เข้าเฝ้าในหลวง
แล้วพวกเขาก็กลับออกมา และสนับสนุนการต่ออายุราชการให้พลเอกเปรม
เศรษฐกิจถดถอย หลังจากพลเอกเปรมเป็นรัฐบาลไม่ถึงปี พรรคการเมืองร่วมรัฐบาลก็เริ่มโวยวายแถมมีเรื่องทุจริตอื้อฉาวหลายกรณี และพลเอกเปรมจะขอต่ออายุราชการในฐานะผบ.ทบ. อีกปีหนึ่ง เมื่อต้นปี 2524 รัฐมนตรีหลายคนลาออก มรว.คึกฤทธิ์ก็ถอนพรรคกิจสังคมออกจากการร่วมรัฐบาล
แต่พลเอกเปรมดึงพรรคการเมืองปีกขวา-และพวกทหารเข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาล ให้พล.ต.สุตสาย หัสดิน เจ้าพ่ออันธพาลกระทิงแดงกับ พล.อ. ประจวบ สุนทรางกูรเป็นรัฐมนตรี
คืนวันที่ 31 มีนาคม 2524 นายทหารกุมกำลังจำนวนมากของกองทัพพยายามก่อรัฐประหารที่เรียกกันว่า กบฏเมษาฮาวาย เมื่อ
วันที่ 1 - 3 เมษายน 2524 เพื่อยึดอำนาจการปกครองของพลเอกเปรม
ผู้ก่อการประกอบด้วยนายทหารซึ่งจบจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 7 หรือ รุ่นยังเติร์ก
ได้แก่ พันเอกมนูญ รูปขจร พันเอกประจักษ์ สว่างจิตร พันโทพัลลภ ปิ่นมณี
โดยมี พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา รองผู้บัญชาการทหารบก
เป็นหัวหน้าคณะได้เริ่มก่อการเมื่อเวลา 2.00 น. ของวันที่ 2 เมษายน
โดยจับตัว พลเอกเสริม ณ นคร ผบ.สูงสุด พลโทหาญ ลีลานนท์ พลตรีชวลิต
ยงใจยุทธ ไว้ที่หอประชุมกองทัพบก และออกแถลงการณ์คณะปฏิวัติ
พลเอกเปรมได้ทูลเชิญพระเจ้าอยู่หัว พระราชินีและพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จประทับกองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี นครราชสีมา ตั้ง
กองบัญชาการตอบโต้ และปลดผู้ก่อการออกจากตำแหน่งทางทหาร
โดยได้กำลังสนับสนุนจาก พลตรี อาทิตย์ กำลังเอก รองแม่ทัพภาคที่ 2
การกบฏสิ้นสุดลงโดยไม่ได้มีการต่อสู้กัน ผู้ก่อการเดินทางออกนอกประเทศ
พลตรีอาทิตย์ กำลังเอก ได้รับความไว้ใจจากพลเอกเปรม ได้เลื่อนเป็นพลโท
เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คุมกองกำลังรักษาพระนคร เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกใน
6 เดือนต่อมา
พล
เอกเปรมมีอำนาจที่มั่นคงขึ้นจากท่าทีรับรองของในหลวงทั้งๆที่มีปัญหา
เศรษฐกิจรุมเร้าไปทั่วประเทศ
ผู้นำทหารก็เพลิดเพลินไปกับการได้เข้าเฝ้าเข้าวัง เนื่องจากพระราชินีสิริกิติ์ทรงโปรดการแวดล้อมด้วยบรรดานายตำรวจนายทหาร ภรรยาของพวกเขา ได้เป็นนางสนองพระโอษฐ์ แขกประจำงานเลี้ยงของพระราชวังคือนายทหาร ที่จะผลัดกันเต้นรำกับพระราชินีสิริกิติ์และร้องเพลงโดยในหลวงภูมิพลทรงเป่าแซ็กโซโฟน
รัฐบาลเปรมพยายามหาทางต่อบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ 2521 ที่ให้ทหารประจำการควบตำแหน่งทางการเมือง
เป็นวุฒิสมาชิกและรัฐมนตรีได้ ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนเมษายน 2526
ในเดือนมกราคม 2526
พลเอกเปรมขยับที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ทหารควบตำแหน่งทางการเมืองได้
แต่เมื่อเผชิญการต่อต้านคัดค้าน พลเอกพิจิตร กุลละวณิชย์ ลูกน้องของพลเอกเปรมก็ออกมาขู่ว่า อาจจะมีการเอ็กเซอร์ไซส์ หรือการตบเท้าสำแดงกำลัง หากกองทัพไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
พระ
เจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ เปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ
โดยวุฒิสภาที่ส่วนใหญ่เป็นทหารสามารถผ่านวาระที่หนึ่งและสอง
ที่ใช้เพียงเสียงข้างมากของรัฐสภา วาระที่สามในวันที่ 16 มีนาคม 2526
ต้องใช้เสียงสองในสาม และฝ่ายทหารก็แพ้ไปอย่างเฉียดฉิว แต่พระเจ้าอยู่หัวภูมิพล รีบโปรดเกล้าฯ ให้ยุบสภา
วันที่ 19 มีนาคม 2526 และให้เลือกตั้งวันที่ 18 เมษายน 2526 หรือแค่ภายใน
30 วัน เพื่อให้รัฐบาลใหม่ได้ตั้งขื้นก่อนบทเฉพาะกาลสิ้นสุดลง คือก่อน 21
เมษายน 2526 โดยใช้บทเฉพาะกาลต่อไปได้สี่ปี
พรรคชาติไทยที่ได้สส.มากที่สุดจากต่างจังหวัด ที่นำโดยพลตรีประมาณ อดิเรกสาร
กับ พลตรีชาติชาย คู่เขยจอมทุจริตที่เป็นพวกอันธพาลการเมืองปีกขวาในปี
2519 พลเอกเปรมใช้ประโยชน์จากความกลัวพลตรีประมาณ บีบให้พรรคอื่นสนับสนุนตน
และเขี่ยพรรคชาติไทยไปเป็นฝ่ายค้าน
โดยเลือกลูกน้องของตนที่ไม่ได้เป็นสส.มาเป็นรัฐมนตรีกว่าสิบคน
พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีพระบรมราโชวาทในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาธันวาคม 2526
ด้วยการเทศนา ดูถูกเหยียดหยามนักการเมืองและข้าราชการ
เรื่องความไม่เอาไหนในการแก้ปัญหาน้ำทวมกรุงเทพฯชั้นใน
แทนที่จะระบายน้ำออกสู่ทะเล กลับขยับให้ไปท่วมพื้นที่อื่นต่อๆกันไป
อย่างโง่ๆ ไร้ความสามารถ ไม่เหมือนกองทัพ
พลเอกเปรมรีบปกป้องเทิดทูนสถาบันกษัตริย์ โดยทันทีที่เป็นนายกฯ ในปี 2523 ก็รีบฟื้นโครงการก่อสร้างอนุสาวรีย์ รัชกาลที่ 7 ที่รัฐสภา
ซึ่งริเริ่มโดยรัฐบาลธานินทร์ในปี 2519 โดยมีพิธีแห่แหนอย่างเอิกเกริก
ในการเปิดอนุสาวรีย์นี้ในวันรัฐธรรมนูญปี 2523
และได้ปลดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ออกจากรายการคุ้มครองมรดกแห่งชาติ
โดยคิดจะทุบทิ้งเพื่อลบภาพการปฏิวัติ 24 มิถุนา 2475
พลเอกเปรมรับภาระในการจัดการกับคนสองคนที่ยังเหลืออยู่คือ นายปรีดี พนมยงค์ และ พระพิมลธรรม ขณะนั้นนายปรีดีอยู่ที่ปารีส อายุ 80 ปี อยากกลับบ้านหลังจากอยู่เมืองนอกมานานกว่า 30 ปี ครอบครัวและเพื่อนฝูงของนายปรีดี ได้ถวายฎีกาต่อพระเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นายปรีดีกลับไทย แต่พระเจ้าอยู่หัวทรงกลัวว่านายปรีดีเป็นภัยคุกคามทางการเมือง
พลเอกเปรมจึงออกอุบายรับมือแทนในหลวงภูมิพล โดยรัฐบาลปล่อยข่าวอย่างไม่เป็นทางการว่านายปรีดีสามารถกลับมาได้ และวังไม่ได้ติดใจกรณีสวรรคตของในหลวงอานันท์ แต่ก็ไม่เคยมีการอนุญาตเป็นทางการ ราวกับว่ามันไปติดขัดอยู่ตรงระเบียบขั้นตอนที่ไหนสักแห่งและไม่รู้ว่าใครรับผิดชอบ
กระทั่งนายปรีดีถึงแก่กรรม ที่ปารีสในวันที่ 2 พฤษภาคม 2526 ศพของนายปรีดีถูกนำกลับไทย แต่รัฐบาลพลเอกเปรมปฏิเสธที่จะจัดพิธีศพให้อย่างเป็นทางการ และพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิเสธที่จะพระราชทานเพลิงศพ
ซึ่งพระองค์จะพระราชทานเพลิงศพให้ผู้นำไทยทุกคนยกเว้นจอมพลป.คนไม่เอาเจ้า
แสดงให้เห็นถึงความพยาบาทผูกใจเจ็บของพระเจ้าอยู่หัวที่มีต่อนายปรีดีอย่าง
ลึกซึ้ง ทั้งๆที่นายปรีดีเป็นคนเสนอต่อรัฐสภาในวันที่ในหลวงอานันท์สวรรคต แต่งตั้งเจ้าฟ้าภูมิพลเป็นพระมหากษัตริย์ ทำให้ทรงรอดจากการเป็นจำเลยคดีปลงพระชนม์ ไม่ต้องถูกประหารชีวิต
ส่วนพระพิมลธรรม เป็นพระที่มีผลงานมีความรู้ความสามารถมีความคิดที่ก้าวหน้าที่วังถือว่าเป็นศัตรู
และเป็นปัญหายิ่งกว่านายปรีดี หลังจากถูกสฤษดิ์จับสึก
และขังคุกด้วยข้อกล่าวหาเท็จช่วงทศวรรษ 2500
พระพิมลธรรมได้สมณเพศกลับคืนมาในทศวรรษ 2510 ปลายปี 2523
เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุมรณภาพ
พระลูกวัดสนับสนุนพระพิมลธรรมกลับมาเป็นเจ้าอาวาส
แต่มหาเถรสมาคมที่ถูกควบคุมโดยพระราชวังและรัฐบาลเปรมกลับทำเพิกเฉย ไม่ตั้งใครเป็นเจ้าอาวาสวัดที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ จนเวลาผ่านไปถึงเก้าเดือน
มีการวิพากษ์วิจารณ์ และขู่เคลื่อนไหวประท้วงของพระ ทำให้มหาเถรสมาคมต้องยอม
พระพิมลธรรมจึงได้กลับมาเป็นเจ้าอาวาส แต่ชั้นยศสูงสุดของพระคือสมเด็จ
มีหกอัตรา ทั้งเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมและคัดเลือกให้เป็นสังฆราช
ชั้นรองสมเด็จ มีสิบสองอัตรา โดยพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานสมณศักดิ์ จากการเสนอของมหาเถรสมาคม และกรมการศาสนา ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา
พระ
พิมลธรรมได้ขี้นชั้นรองสมเด็จในทศวรรษ 2490 แต่ถูกจอมพลสฤษดิ์สั่งถอดยศ
และเพิ่งได้คืนมาในปี 2518
ท่านจึงมีคุณสมบัติสมบูรณ์ที่จะเลื่อนชั้นเป็นสมเด็จ แต่วังปฏิเสธ
เมื่อสมเด็จหนึ่งในหกรูปมรณะภาพในเดือนกรกฎาคม 2526 เกิดกระแสเรียกร้องให้พระพิมลธรรมเป็นสมเด็จ เพราะ
ท่านมีคุณสมบัติมากกว่าใครอื่น
โดยท่านได้เป็นรองสมเด็จก่อนพระอีกสองรูปที่ได้เป็นสังฆราชไปแล้ว
สภาสงฆ์อิสานลงคะแนนสนับสนุนท่านอย่างเป็นเอกฉันท์
พลเอกเปรมกับวังรับมือด้วยการขุดข้อกล่าวหาว่า พระพิมลธรรมเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง ของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ขึ้นมาใหม่ เพราะวิตกว่าพระพิมลธรรมเป็นผู้ชิงตำแหน่งสังฆราช ซึ่งมีการเตรียมสมเด็จรุ่นน้องของพระพิมลธรรมไว้แล้ว คือ พระญาณสังวร พระพี่เลี้ยงของในหลวงนั่นเอง
พระราชวังและพลเอกเปรม ใช้วิธีหน่วงเหนี่ยวถ่วงเรื่อง แบบเดียวกับกรณีการขอกลับบ้านของนายปรีดี มีกระบวนการสกัดกั้นโดยทำให้ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุ มหาเถรสมาคมทำเพิกเฉยใน
ตอนแรก พอ 20 พฤศจิกายน ก่อนวันเฉลิมพระชนมพรรษาไม่กี่วัน
เจ้าคณะภาคอีสานเสนอชื่อพระพิมลธรรมอย่างเป็นทางการ
แปดวันต่อมาพระสังฆราชให้กรมการศาสนาบรรจุเรื่องนี้เข้าในวาระการประชุม
แต่พอประชุมกลับไม่มีในวาระ ภายหลังมีคำอธิบายว่า หนังสือของพระสังฆราช ถูกนำไปวางไว้ผิดที่ ทำให้หาไม่เจอ และ
ไม่มีการแต่งตั้งสมเด็จองค์ใหม่ในวันที่ 5 ธันวาคมปีนั้น พอกลางปี 2527
พระชั้นสมเด็จมรณภาพไปอีกหนึ่งราย ทำให้เหลือว่างสองตำแหน่ง
วันเฉลิมพระชนมพรรษาในปีนั้นผ่านไปอีก โดยไม่มีการแต่งตั้งพระชั้นสมเด็จอีกปีหนึ่ง
จึงเป็นที่ชัดเจนว่า พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงปฏิเสธพระพิมลธรรม พระพิมลธรรมอายุ 83 ปีและวังก็เพียงแต่เฝ้ารอให้ท่านมรณภาพ เหมือนรอให้นายปรีดีถึงแก่กรรม ปี 2528 ผ่านไปโดยปราศจากการแต่งตั้งใด ๆ เจ้าคณะจังหวัดภาคอิสาน 17 รูปขู่ว่าจะคืนสมณศักดิ์ และเครื่องราชย์ที่ได้รับพระราชทานจากพระเจ้าอยู่หัว เป็นการประกาศแยกตัวจากมหาเถรสมาคม
วังทนถูกด่าต่อไปไม่ไหว จึงต้องโปรดเกล้าฯ พระราชทานสมณศักดิ์ให้พระพิมลธรรมเป็นสมเด็จ อีกอัตราหนึ่งตกเป็นของพระอนุรักษ์นิยมเจ้า ถึงตอนนั้นพระพิมลธรรมก็แก่เกินไปที่จะสร้างปัญหาได้ ท่านมรณภาพในอีกไม่กี่ปีต่อมา และสมเด็จพระญาณสังวรก็ขึ้นเป็นสังฆราชตามพระราชประสงค์
เมื่อได้จัดการกำจัดเสี้ยนหนาม ที่เป็นพยานคนสำคัญต่ออดีตอันน่าอัปยศของในหลวงไปเรียบร้อยแล้ว พลเอกเปรมก็โหมการเทิดทูนพระเจ้าอยู่หัว และวัฒนธรรมคลั่งเจ้า เริ่มด้วยการฟื้นประเพณีหมอบกราบ
โดยพลเอกเปรมพยายามทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง
พลเอกเปรมเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
ด้วยลีลาที่เหมือนสมัยเมื่อร้อยปีก่อนคือการหมอบกราบและจะกราบบังคมทูลด้วย
สุ้มเสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบาอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวก็ต่อเมื่อพระเจ้าอยู่
หัวทรงมีพระราชดำรัสก่อนเท่านั้น
พลเอกเปรมสวมเสื้อไหมไทยคอตั้ง เรียกว่า ชุดพระราชทาน
ซึ่งย้อนยุคไปถึงสมัยรัชกาลที่ห้า ทำให้บรรดาข้าราชการ นักการเมือง
และนักธุรกิจที่ต่างพากันแต่งชุดพระราชทานเป็นชุดทำงาน ไฮโซ
และพวกต้องการยกสถานะตนเองทางสังคมก็จะแข่งกันบริจาคเงินและเข้าร่วมงานพระราชพิธีต่างๆ
ที่พลเอกเปรมเป็นผู้ดูแลอุ้มชู
และมีศูนย์กลางอยู่ที่โรงแรมดุสิตธานีซึ่งเป็นสถานที่ประจำสำหรับจัดงาน
ลีลาศการกุศล กลายเป็นสถานที่ที่นักธุรกิจ นักการเมือง
นายพลกับบรรดาภรรยาทั้งหลายมาออกงานและตกลงเรื่องธุรกิจ
การแต่งตั้งโยกย้ายเลื่อนตำแหน่ง
การให้สัญญาและสัมปทานของรัฐตามใบสั่งของวัง
พลเอกเปรมใช้งบประมาณของประเทศในการสร้างพระตำหนักหลายแห่ง ให้
กับพระบรมวงศานุวงศ์ เช่น
ชาเล่ตข์นาดใหญ่บนยอดเขาที่เชียงรายสำหรับพระราชชนนีศรีสังวาลย์ที่เสด็จมา
ประทับเมืองไทยเป็นการถาวรในช่วงปลายทศวรรษ 2520 สั่งให้การบินไทย
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จัดงบประมาณโฆษณาเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ทุก
วันสำคัญ มีการเผยแพร่พระราชกรณียกิจต่างๆ
ของพระราชวงศ์ตามโทรทัศน์และวิทยุอย่างเต็มที่
วันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระเจ้าอยู่หัวและของพระราชินี ถูกยกให้เป็นวันพ่อและวันแม่แห่งชาติ
เมื่อสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
พระมเหสีในรัชกาลที่ 7 สิ้นพระชนม์ในเดือนพฤษภาคม 2527
พลเอกเปรมได้ขยายเวลาไว้อาลัยจากปกติ 100 วันเป็น 11 เดือน (หรือราว 330
วัน)
และรัฐบาลเปรมได้จัดพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพอันยิ่งใหญ่สุดอลังการใน
เดือนเมษายน 2528 ใช้เงินหลายร้อยล้านบาท
ท่ามกลางภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในขณะนั้น มีเมรุประดับทองสูง 29 เมตร ขบวนแห่ยาวสามกิโลเมตร
ประกอบด้วยราชรถสีแดงและสีทองนำพระบรมศพที่บรรจุในโกศประดับอัญมณี
พร้อมด้วยทหารมือกลอง และพลเป่าแตรหนึ่งพันนายแต่งชุดจักรีโบราณ
โทรทัศน์ทุกช่องถ่ายทอดสด
พระราชสกุลมหิดลทรงนำขบวนแห่ของเชื้อพระวงศ์นับร้อย
ท่ามกลางเสียงปืนใหญ่ที่ยิงสลุดดังอื้ออึง
ผลงานที่สำคัญที่สุดของพลเอกเปรม คือการขยายกิจการโครงการหลวงอย่างขนานใหญ่ ทำให้โครงการพระราชดำริ กลายมาเป็นสัญญลักษณ์หรือเครื่องหมายทางการค้าของพระเจ้าอยู่หัว
ทั้งภาพถ่ายและภาพยนต์ทางโทรทัศน์
ที่โหมประโคมแสดงภาพในหลวงภูมิพลเสด็จพระดำเนินลุยป่าฝ่าดงในชนบท
มีกล้องแคนน้อนห้อยพระศอ ทรงถือแผนที่กับสมุดจด
ทรงสอบถามชาวบ้านและเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับปริมาณน้ำตามฤดูกาลและการทำเกษตร
ผู้ตามเสด็จมักจะถวายคำอธิบายด้วยความประหลาดใจ
ว่าในหลวงทรงดูแผนที่แล้วก็ทรงสามารถเข้าใจสภาพภูมิประเทศกับแหล่งน้ำได้
อย่างรวดเร็ว นับว่าทรงพระอัจฉริยะโดยแท้
พลเอกเปรมรีบสนองพระราชประสงค์ ด้วยการทุ่มเททั้งงบประมาณ และกำลังคนของรัฐบาล โดยเฉพาะกำลังทหารสนับสนุนโครงการพระราชดำริ เป็นความสำคัญเร่งด่วนลำดับแรกเหนืองานประจำของแต่ละหน่วยงาน พลเอกเปรมนั่งเป็นประธาน คณะกรรมการประสานงานโครงการในพระราชดำริ หรือ กปร. ทำ
หน้าที่เร่งรัดการดำเนินงานโครงการส่วนพระองค์
ทรงกลายเป็นหัวหน้างานพัฒนาคนใหม่ของระบบราชการ
ที่มีทรัพยากรและสรรพกำลังทั้งหมดของรัฐบาลไว้ให้ใช้
โดยทรงรับเอาความดีความชอบแต่เพียงผู้เดียว
ผู้ดูแลโครงการพระราชดำริ เป็นนักเศรษฐศาสตร์และสมาชิกสภาความมั่นคงแห่งชาติ ชื่อนายสุเมธ ตันติเวชกุล
ที่ปรึกษาคนสนิทของในหลวงภูมิพล ทำงานที่สภาพัฒน์ฯ ตั้งแต่ทศวรรษ 2500
เมื่อมีคณะกรรมการพัฒนาโครงการในพระราชดำริ
ได้ใช้งบประมาณเพิ่มจากเดิมเป็นสิบเท่า
โดยส่วนใหญ่หักเงินเอาจากงบประมาณปกติของกระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ
โครงการพระราชดำริส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือนเดิมที่เคยเป็นมา คือ
การวิจัยพันธุ์พืช โครงการแหล่งน้ำทั้งใหญ่และเล็ก
การฝึกอบรมแพทย์และอาสาสมัคร การสาธารณสุข เป็นต้น
พลเอกเปรมได้ก่อตั้งศูนย์โครงการหลวงหกแห่งทั่วประเทศ แต่ละแห่งมีเนื้อที่หลายพันไร่ ปกติอยู่ในบริเวณตำหนักประจำภาคต่าง ๆ มีเจ้าหน้าที่ทำการทดลองการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ เหมือนงานวิจัยตามกระทรวงและมหาวิทยาลัยต่างๆนั่นเอง
กองทัพได้กลายมาเป็นกองงานส่วนพระองค์ของพระเจ้าอยู่หัว กองทัพสร้างศูนย์การพัฒนามูลค่าหลายสิบล้านบาทบนเนื้อที่ 13,000 ไร่ ที่ตำหนักภูพานราชนิเวศน์ สกลนคร และอีกหลายล้านไร่ สำหรับพระตำหนัก และศูนย์การพัฒนาใกล้เขาค้อ เพิ่มงบประมาณให้กองทัพเพื่อนำไปใช้ในโครงการหลวง โครงการหลวงได้รับการโหมโฆษณาพร้อมงบประมาณมหาศาลของรัฐบาล ทำให้ประชาชนมองข้ามรัฐบาลและหวังพึ่งแต่พระเจ้าอยู่หัว
พลเอกเปรมยังทำหน้าที่ควบคุมปราบปรามการวิพากษ์วิจารณ์วังด้วยการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพโดย
ใช้ปกป้องราชวงศ์จักรีทุกพระองค์และพระมหากษัตริย์ไทยทั้งหมด
การดูหมิ่นกษัตริย์องค์ก่อนๆ ก็ถือเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
พลเอกเปรมถือว่าเรื่องของเจ้าไม่ใช่เรื่องของไพร่ และห้ามวิจารณ์โดยเด็ดขาด มีการข่มขู่สื่อว่าจะโดนปิด
คนที่ถูกจับได้ว่า ตีพิมพ์เอกสารวิพากษ์วิจารณ์วัง จะถูกลงโทษรุนแรง
ถูกตามล่าและถูกจับขังคุก นิตยสารนิวส์วีค Newsweek
ฉบับที่หน้าปกลงรูปพลเอกเปรมอยู่สูงกว่าในหลวงภูมิพล ในเดือนมกราคม 2525
ก็ถูกสั่งห้ามขาย เอเชี่ยนวอลล์สตรีทเจอร์นัล Asian Wall Street Journal
ที่ลงบทความว่า พระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรงเป็นที่นิยมมาก อย่างที่ดูเหมือนว่าจะเป็น ก็ถูกห้ามขายเช่นกัน
พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ให้
สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เนชั่น
แก้ตัวแทนในหลวงและราชินีที่มักตื่นสายถึงเที่ยงทุกวัน
โดนอ้างว่าทุกคืนทั้งสองพระองค์ทรงหอบกองเอกสารเข้าไปในห้อง ทรงใช้เวลาอ่านทั้งคืน
เพื่อทำการตัดสินพระทัย
ทำให้ทั้งสองพระองค์เสด็จออกห้องพระบรรทมเมื่อปาเข้าไปเที่ยงวันแล้วในแต่ละ
วัน แต่ยังต้องปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามกำหนดต่างๆที่แน่นไปหมด ซึ่งเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น
การโฆษณาชวนเชื่อเทิดทูนสถาบันกษัตริย์ได้ถอยหลังไปสู่ยุคโบราณที่ถือว่า พระมหากษัตริย์ คือเจ้าชีวิต ผู้เป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่าง และประทับอยู่บนหัวของราษฎร โดยไม่ให้ความสำคัญกับสถาบันตามระบอบประชาธิปไตย เช่น รัฐธรรมนูญ รัฐสภาและหลักกฎหมายโดยถือว่าเป็นของนำเข้าจากตะวันตก
คณะกรรมการเอกลักษณ์แห่งชาติ กลับหันไปเน้นความสำคัญ ของศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงหลักที่หนึ่ง ที่ราชวงศ์จักรีทำขึ้นเองสมัยรัชกาลที่สี่ ว่าเป็นเหมือนสัญญาประชาธิปไตย แบบเดียวกับรัฐธรรมนูญระหว่างผู้นำ คือกษัตริย์กับประชาชน
โดยย้ำว่าประชาชนไม่ใช่รัฐบาล ถ้าต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อกำหนดเป็นนโยบาย ก็เท่ากับว่าให้ประชาชนเป็นรัฐบาล ซึ่งจะนำไปสู่วิกฤตทางการเมืองเพราะกษัตริย์ไทยได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนโดยเอกฉันท์ ประชาชน
เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวภายใต้การปกครองของพระมหากษัตริย์
ที่ทรงปกป้องคุ้มครองราษฎรให้พ้นจากภัยคุกคามของจักรวรรดินิยมตะวันตกและทรง
ดูแลทุกข์สุขให้พวกเขา นักการเมืองในประเทศไทยมีความเห็นแก่เงินและบ้าอำนาจ
เกินกว่าที่จะปกป้องประโยชน์ของส่วนรวม สื่อมวลชนก็พึ่งพาไม่ได้
เป็นแค่ความบันเทิงอีกแขนงหนึ่ง มีแต่พระมหากษัตริย์เท่านั้นที่ทรงมีภูมิรู้ทางประวัติศาสตร์ ประสบการณ์ ความรอบรู้และความเสียสละที่จะครองความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนทั้งชาติได้
คนไทยเข้าใจเรื่องนี้ดี เพราะเมื่อในหลวงภูมิพลประชวร ทุกคนพากันตระหนกตกใจกัน แต่เวลารัฐบาลล้มหรือทหารยึดอำนาจ ไม่สู้มีใครใส่ใจ เพราะรัฐบาลก็เป็นแค่สิ่งบันเทิง ในการพระราชทานสัมภาษณ์ปี 2525 ทรงเผยพระประสงค์ว่าพระองค์ควรจะเป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรี เพราะพระองค์ทรงฉลาดกว่าใคร
และประชาชนศรัทธาเชื่อมั่นให้พระองค์เป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
สำหรับการรัฐประหารที่เกิดขึ้นบ่อยๆ
ก็เพราะทหารก็ต้องการประชาธิปไตยเหมือนกับประชาชนนั่นเอง
พระราชินีสิริกิติ์ก็ทรงแสดงบทบทบาทช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ผ่านมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ที่ช่วยผู้หญิงฝึกอาชีพหัตถกรรม
ทรง
ระดมทุนด้วยงานการกุศลและอื่นๆ ได้หลายร้อยล้านบาทต่อปีเป็นประจำ
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับทีมงานส่วนพระองค์กว่า 50 คน
และยังมีเจ้าหน้าที่อีกหลายคนในมูลนิธิฯ ทรงเสด็จต่างจังหวัดเป็นขบวนเอิกเกริกอยู่เป็นประจำ ท่ามกลางทหารคุ้มกันหนาแน่น
ปรากฏพระองค์อย่างเจิดจรัสใน
ชุดแฟชั่นนำสมัย ระย้าพร่างพรายด้วยเพชร พลอย มรกตและไข่มุก
ทรงชอบสวมกางเกงแบบฮาเร็ม หมวกแบบผ้าโพก ที่ชาวบ้านมองดูด้วยความตะลึงงัน
ทรงพบปะผู้หญิงและเด็กในหมู่บ้านที่เจ็บป่วยที่ผ่านการคัดเลือกมาแล้ว
ทรงแจกจ่ายยา และบอกให้พวกเขาดูแลรักษาตัวเอง ด้วยสุ้มเสียงเนิบช้า เหมือนแม่พูดแนะนำลูกเล็กอัน
เป็นท่วงท่าที่พระนางใช้พูดกับทุกคนนอกวัง แล้วแจกจ่ายข้าวของ หยูกยา
ให้การรักษาพยาบาล
จ่ายเงินแก่สมาชิกศูนย์ศิลปาชีพเป็นค่างานฝีมือผลิตภัณฑ์ของพวกเขา
ซึ่งจะถูกขนกลับไปขายต่อไป
ผลงานหลักของรัฐบาลเปรมคือ การเทิดทูนและปกป้องภาพลักษณ์พระราชวงศ์ แต่ไม่มีการแก้ไขปัญหาการบริหารงาน และยิ่งแย่ลงกว่าเดิมอีก กองทัพแตกแยกกันหนักขึ้น กองทัพและวงราชการเต็มไปด้วยการทุจริตคอรัปชั่น
โดยเฉพาะนักการเมืองที่สนับสนุนพลเอกเปรมที่ได้ผลประโยชน์ตอบแทนด้วยสัญญา
และสัมปทานโครงการต่างๆ อาชญากรรมความรุนแรงเกิดขึ้นทั่วไป
โดยบรรดาเจ้าพ่อในพื้นที่ต่างๆ ที่ร่วมงานใกล้ชิดกับกองทัพ
ในวิกฤติการณ์แต่ละครั้ง พลเอกเปรมจะต้องเอาหลังพิงวังอยู่เสมอ
ใน
ปี 2527 เศรษฐกิจตกต่ำทั้งภูมิภาค
และมีเรื่องอื้อฉาวทางการเงินที่ธนาคารหลายแห่งล้มละลาย
เกิดความตื่นตระหนกไปทั่ว ในเดือนสิงหาคม นายกเปรมล้มป่วยอย่างหนัก พระราชินีเสด็จเยี่ยมนายกเปรมถึงข้างเตียงที่บ้านของเขาสองครั้ง เป็นข่าวเผยแพร่ครึกโครมพลเอกเปรมกลับมาเจอกับเศรษฐกิจที่กำลังซวนเซ ต้องประกาศลดค่าเงินบาท 15 เปอร์เซ็นต์ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2527 จาก 23 บาท เป็น 27 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา แต่พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบกทำหนังสือขอให้รัฐบาลทบทวนการประกาศลดค่าเงินบาทและขอให้ปรับปรุงคณะรัฐมนตรี
คราวนี้ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงออกโรงช่วยพลเอกเปรมด้วยพระองค์เอง โดยทรงโปรดฯให้พลเอกเปรมไปพักที่ตำหนักภูพานราชนิเวศน์เป็นเวลาเก้าวัน ทุกๆ
วันสื่อมีการเผยแพร่ภาพพลเอกเปรมอยู่กับพระเจ้าอยู่หัว พระราชินี
และฟ้าชายวชิราลงกรณ์
พลเอกเปรมกลับมาพร้อมฟ้าชายวชิราลงกรณ์และนาวาอากาศเอกวีระยุทธ
พระสวามีของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
เมื่อพลเอกอาทิตย์บินไปเข้าเฝ้าฯที่พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์
พลเอกเปรมก็ตามไป พวกเขาได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว
จบลงด้วยการที่พลเอกเปรมยังอยู่บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
การลดค่าเงินบาทไม่ถูกยกเลิก
พลเอกอาทิตย์ได้รับการต่ออายุราชการและควบทั้งสองตำแหน่งไปจนถึงเดือน
กันยายน 2529
เดือนกันยายน 2528 พลเอกเปรมเดินทางไปเยือนอินโดนีเซีย พลเอกอาทิตย์อยู่ยุโรป พระราชวงศ์ประทับอยู่ต่างจังหวัด พวกยังเติร์กพยายามยึดอำนาจอีก
โดยอ้างความจงรักภักดี
รถถังกับรถบรรทุกของพวกเขาประดับพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง พระราชินี
และฟ้าชาย
แต่การรัฐประหารล้มเหลวเมื่อทหารราบหลายหน่วยที่นัดกันไว้กลับไม่มา
พลเอกเปรมรีบกลับจากจาการ์ตา และใช้เวลาเจรจาจนเรียบร้อย กลายเป็นว่ายังเติร์กถูกหลอกให้ออกมาเพื่อหาเรื่องเล่นงานใครบางคน
ในปี 2529 พลเอกเปรมเผชิญศึกหนักในสภา พลเอกเปรมรับมือด้วยการก่อตั้งกลุ่มการเมืองของตนเอง โดยให้ พลอ.อ. สิทธิ เศวตศิลา ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของตนเข้ายึดพรรคกิจสังคมหลังจากมรว.คึกฤทธิ์ วางมือไป และให้ พล.อ.เทียนชัย สิริสัมพันธ์
ตั้งพรรคราษฎรขึ้นมา สภาก็เล่นงานพลเอกเปรมอีก
พลเอกอาทิตย์ขู่จะก่อรัฐประหาร
วังก็ให้ฟ้าชายวชิราลงกรณ์เสด็จเยี่ยมพลเอกเปรมที่บ้านอย่างเปิดเผย
ในหลวงภูมิพลก็พระราชทานยศ พล.อ.อ.กับ พล ร.อ. ให้พลเอกเปรม ซึ่งปกติแล้วจะสงวนไว้สำหรับพระราชวงศ์เท่านั้น ขณะที่พลเอกเปรมอยู่ในฐานที่มั่นที่นครราชสีมาก็ได้ประกาศพระบรมราชโองการฯ ปลดพลเอกอาทิตย์ ออกจากตำแหน่งผบ.ทบ.ซึ่งถือเป็นจุดจบทางการเมืองของพลเอกอาทิตย์
การ
รณรงค์หาเสียงของนักการเมืองได้พุ่งเป้าโจมตีพลเอกเปรมที่ไม่ยอมลงสมัครรับ
เลือกตั้ง รวมทั้งกองทัพที่มีการทุจริตอย่างกว้างขวางและเป็นทหารการเมือง
แต่พลเอกเปรมก็ไม่สะทกสะท้าน เพราะเขาได้ยึดเอาพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลเป็นแบบอย่าง คืออ้างว่าเขามีความเป็นกลางและอยู่เหนือการเมือง ทั้งๆที่บริวารของพลเอกเปรมจะจัดการดูแลพรรคการเมืองอยู่ก็ตาม มีการปล่อยข่าวว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงต้องการให้พลเอกเปรมเป็นนายก
อย่างน้อยจนกว่าจะผ่านงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 60 ในปี 2530 ก่อน
และจากนั้นก็เป็นการเฉลิมฉลองวาระการขึ้นครองราชย์ที่ยาวนานกว่ากษัตริย์ไทย
ทุกพระองค์ในปี 2531 ( รัชกาลที่ 5 ครองราชย์ 42 ปี 22 วัน รัชกาลที่ 9
ครองราชย์ 9 มิถุนายน 2489 และจะครองราชย์นานเท่ากับรัชกาลที่ 5 ในวันที่ 1
กรกฎาคม 2531 )
ผลการเลือกตั้ง 27 กรกฎาคม 2529 พรรคที่ได้ที่นั่งมากที่สุด 100 จาก 347 เสียง คือประชาธิปัตย์ แต่นายพิชัย รัตตกุลหัวหน้าพรรค ยอมให้พลเอกเปรมเป็นนายก ทำให้คนในพรรคโกรธแค้นมาก พรรคร่วมรัฐบาลประกอบด้วยประชาธิปัตย์ ชาติไทย และพรรคของพลเอกเปรม คือกิจสังคมกับราษฎร
พลเอกเปรมตั้งคนของตนเข้ามาในคณะรัฐมนตรี
กระทรวงมหาดไทยถูกยกให้อดีตผู้นำกระทิงแดงพล.ต.อ.ประจวบ สุนทรางกูร
ที่ส่งตำรวจรับมือนักศึกษาที่ออกมาประท้วง
กระทรวงคมนาคมและการสื่อสารที่ให้ผลประโยชน์มากที่สุด ตกเป็นของนายบรรหาร
ศิลปอาชา ผู้รับเหมาที่ไม่ชอบการอดอยากปากแห้งที่มีอิทธิพลในพื้นที่ภาคกลาง
พลเอกเปรมทุ่มงบประมาณแผ่นดินจัดงานฉลองพระชนมพรรษา 60 ปี
ถวายพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล
ทั้งโปสเตอร์และป้ายโฆษณาผุดขึ้นทั่วประเทศและไม่ว่าใครจะขยับตัวทำอะไรในปี
ก่อนหน้าและหลังจากนี้ล้วนแต่เป็นการเฉลิมพระเกียรติไปเกือบหมด
หน่วยราชการผลิตหนังสือ และสารคดีโทรทัศน์ยืดยาวเชิดชูพระอัจฉริยภาพ
ทศพิธราชธรรมของพระเจ้าอยู่หัว
ตลอดจนความยิ่งใหญ่ไร้ที่ติของกษัตริย์ราชวงศ์จักรี มหาวิทยาลัยต่างๆ
จัดสัมมนาอภิปราย
ออกบทวิเคราะห์ทางวิชาการสดุดีพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลกับพระราชวงศ์ทุกพระองค์
เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาเขียนเรื่องเจ้านายในปี 2539
เกี่ยวกับชีวิตวัยเยาว์ของในหลวงอานันท์กับในหลวงภูมิพล
และกองทัพก็เอาไปตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือหนา 400
หน้าเต็มไปด้วยเรื่องราวความฉลาดปราดเปรื่องของพระเจ้าแผ่นดินทั้งสอง
พระองค์
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกับการบินไทยร่วมมือกันจัดโครงการณ์สนับสนุนการท่องเที่ยวประเทศไทย (Visit Thailand Year) เน้นวาระครบรอบ 60 ชันษาของพระเจ้าอยู่หัว โดยจัดพระราชพิธีเห่เรือในเดือนตุลาคม
ในเดือนมีนาคม 2530 พระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานธงชัยเฉลิมพล แก่
ทหารกรมกองต่างๆ ด้ามธงบรรจุด้วยเส้นพระเกศาของในหลวงภูมิพล
กองทัพถางป่าสงวนบนยอดดอยอินทนนท์เพื่อสร้างพระเจดีย์ถวายในหลวงและพระ
ราชินีพระองค์ละหนึ่งแห่ง ปลายปี 2529
พลเอกเปรมประกาศอย่างเป็นทางการถวายพระเกียรติยศให้ในหลวงภูมิพลเป็น อัครศิลปิน
ก่อนถวายพระเกียรติเป็นมหาราชในเดือนธันวาคม 2530 ทั้งๆที่ยังไม่ทันสิ้นพระชนม์ โดย
ทำเหมือนว่าประชาชนไทยทั้ง 41
ล้านคนพร้อมใจกันถวายตำแหน่งมหาราชเพื่อยกระดับพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลให้เป็น
พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่กี่เดือนต่อมา
ฟ้าหญิงสิรินธรก็ทรงได้รับขนานพระนามเป็น อัครอุปถัมภ์แห่งมรดกวัฒนธรรมไทย
กรมการศาสนาเตรียมสังคายนาพระไตรปิฎกเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาของพระเจ้าอยู่หัว การสังคายนาพระไตรปิฎกถือเป็นงานใหญ่และไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
พระราชวังและพลเอกเปรมพยายามสร้างระบอบวังร่วมกับกองทัพ ให้กองทัพมีบทบาทครอบงำการเมืองอย่างเป็นทางการ โดยผ่านผบ.ทบ.คนใหม่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ผู้ร่างคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 เมื่อ 23 เมษายน 2523 เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ คือ การใช้หลักการเมืองนำการทหาร
พลเอกชวลิตได้ช่วยพลเอกเปรมปราบปรามการรัฐประหารหลายครั้ง
เมื่อพลเอกอาทิตย์กระเด็นไปแล้ว
พลเอกชวลิตก็มองว่าตนเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อจากพลเอกเปรม
พล
เอกชวลิตย้ำว่าพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ให้กองทัพเป็นพลังหลักในการ
พัฒนาและการบรรเทาความยากจน ภายใต้การชี้แนะของพระเจ้าอยู่หัว มีที่ดิน
แหล่งน้ำ แรงงานที่มีวินัยและอุปกรณ์เครื่องมือมหาศาล ที่ใหญ่โตที่สุดคือโครงการอีสานเขียว ที่จะพลิกแผ่นดินแห้งแล้งของอีสานให้เขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาให้ได้ ใช้งบประมาณกว่า 13,500 ล้านบาท
แต่กองทัพกลับถูกโจมตีว่าแย่งบทบาทการทำงานของรัฐบาลโดยใช้โครงการพระราช
ดำริเป็นข้ออ้างและผลาญเงินงบประมาณไปกว่าหนึ่งในสี่
ซึ่งมากกว่างบสาธารณสุขและการศึกษามากนัก
บรรดานายพลเศรษฐีนับสิบรายที่ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยเป็นหลักฐานแสดงถึงการ
ทุจริตคอรัปชั่นกันอย่างมโหฬาร
ฝ่ายค้านในสภาได้เตรียมยื่นญัตติ ขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกเปรมในเดือนเมษายน 2530 แต่พลเอกเปรมใช้เล่ห์กลตัดแข้งตัดขา และซื้อตัวสส.อย่างโจ่งแจ้ง
ทำให้ญัตติตกไปเพราะคะแนนเสียงไม่พอ เดือนตุลาคม 2530
พลเอกเปรมเป็นประธานประชุมกอรมน.แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเพิ่มอำนาจแก่ฝ่าย
บริหารและกองทัพอ้างว่าการปฏิรูปประชาธิปไตยเพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติ
แต่บารมีของพลเอกเปรมก็เสื่อมลงจากการคอรัปชั่นสามเรื่องต่อเนื่องกัน
กรณีแรกนายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา รัฐมนตรีของวังถูกกล่าวหาว่าทุจริต จนต้องลาออกแต่ได้ไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
กรณีที่สอง รัฐมนตรีคมนาคม นายบรรหาร ศิลปอาชา ถูกกล่าวหาว่าโกงกินอย่างมโหฬารและซื้อเสียง เชื่อกันว่าพลเอกเปรมปล่อยให้บรรหารทุจริตเพราะต้องอาศัยเสียงสส.สนับสนุน
กรณีที่สามเป็นเรื่องการทุจริตในการซื้ออาวุธของกองทัพ ที่เกี่ยวพันกับพลเอกชวลิตและภรรยาในการจัดซื้อรถถังสติงเรย์ของอเมริกา
ซึ่งเป็นรุ่นที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯก็ยังปฏิเสธเนื่องจากราคาแพงและคุณภาพ
ต่ำ ปรากฏว่าไทยเป็นประเทศเดียวที่ซื้อรถถังสติงเรย์
ทำให้ต้องยกเลิกการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปก่อน
พลเอกชวลิต ก็พึมพำว่าประชาชนกำลังร้องขอให้เขาก่อการรัฐประหารเพื่อพลเอกเปรม ใน
ช่วงต้นเดือนธันวาคมก่อนวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 60 ปี
พลเอกเปรมก็กราบบังคมทูลถวายพระราชสมัญนามพระมหาราชแด่พระเจ้าอยู่หัวภูมิ
พลอย่างเป็นทางการ พล
เอกเปรมชิงยุบสภาและกำหนดวันเลือกตั้ง 24 กรกฎาคม 2531
อย่างน้อยก็ทำให้เขายังได้เป็นประธานในงานเฉลิมฉลองการครองราชย์ยาวนานที่
สุดกว่าพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์ใด ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2531
และได้แสดงเจตนาจะเป็นนายกรัฐต่อไปโดยไม่ลงเลือกตั้งโดยทึกทักว่าการจัดงาน
เฉลิมเป็นเหตุผลเพียงพอแล้ว
แต่ในเดือนมิถุนายน นักวิชาการชั้นนำ 99 คนได้ลงชื่อถวายฎีกา ร้องเรียนไปยังพระเจ้าอยู่หัว กล่าวหาพลเอกเปรมว่าแอบอ้างวังและ
ใช้กองทัพข่มขู่เพื่อรักษาอำนาจของตน
พวกเขากล้าเรียกร้องให้พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลหยุดแทรกแซงระบอบประชาธิปไตย
และเลิกสนับสนุนพลเอกเปรม
ผู้ประท้วงราวหนึ่งพันคนเดินขบวนไปที่หน้าบ้านพลเอกเปรม
ผู้นำพรรคการเมืองและคนอื่นๆ ก็เรียกร้องอย่างเปิดเผยให้นายกฯ
มาจากสส.ที่ได้รับการเลือกตั้ง
ขณะที่ทั้งประเทศกำลังจดจ่อรอดูว่าในหลวงภูมิพลจะเสด็จลงมาอุ้มพลเอกเปรมอีก
หรือไม่ ในที่สุดพลเอกเปรมก็ตัดสินใจถอนตัว ทำให้ในหลวงภูมิพลไม่ต้องเปลืองตัวในการเลือกระหว่างประชาชนกับผู้นำกองทัพ
พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคชาติไทยที่ได้ที่นั่งมากที่สุดจึงได้เป็นนายกรัฐมนตรีคน
ต่อไป
ประชาชนไม่ได้เห็นคุณค่าของรัฐบาลทหารพระราชทานของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอีก
ต่อไปแล้ว เพราะพลเอกเปรมนั้นแทบไม่ทำอะไรเลยตลอดแปดปี
นอกจากปกป้องเก้าอี้ของตนและราชบัลลังก์ของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล
รัฐบาลพลเอกเปรมได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่ได้เลวน้อยไปกว่ารัฐบาลพลเรือนเลย
ในเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น การใช้อำนาจบาตรใหญ่และเช้าชามเย็นชาม
ปัญหาสังคมเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ความยากจนยังปรากฏอยู่ทั่วไปในชนบท
อาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น มีการค้ายาเสพติดกว่า 30,000 ล้านบาทต่อปี
ทั้งๆที่ มีการโฆษณาชวนเชื่อว่าพลเอกเปรมเป็นคนมือสะอาด แต่ก็ต้องเลี้ยงสมุนและบริวาร ที่
เอาแต่ทุจริตคอรัปชั่นเพื่อความอยู่รอดของตนเอง
มีรัฐมนตรีจอมทุจริตอย่างนายบรรหาร ยังให้พล.อ.อ.สิทธิ
เศวตศิลามือขวาด้านความมั่นคงของเขา เข้ายึดครองพรรคกิจสังคม
โดยไปเป็นพวกกับเจ้าพ่อชั้นนำของประเทศสองคนคือ กำนั้นเป๊าะแห่งชลบุรีกับ ชัช เตาปูนเจ้าของบ่อนเตาปูน ซึ่งมีตำแหน่งในพรรคทั้งคู่
มีการแตกแยกและทุจริตในกองทัพ แทนที่กองทัพจะเล็กลงและเป็นมืออาชีพมากขึ้น กลับเต็มไปด้วย บรรดานายทหารที่เอาแต่ทุจริตคอรัปชั่นจนพากันอิ่มหมีพีมัน และย่อหย่อนความสามารถใน
การทหารสมัยใหม่ ทหารเข้าแทรกแซงการเมือง วงการธุรกิจ
และแม้แต่วงการอาชญากรรมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม
หรือแย้งพระเจ้าอยู่หัว ส่วนใหญ่หมอบกราบแซ่ซร้องสดุดีอย่างเดียว
บริวารใกล้ชิดกราบทูลพระองค์ว่า พลังประชาธิปไตยเป็นเหมือนพคท.
เป็นภัยคุกคามต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลก็ทรงเชื่อและยังคงให้ท้ายกองทัพในการอ้างอำนาจ
ครอบงำเหนือการเมืองต่อไป
คนไทยโชคดีที่มีในหลวง คือ มีในหลวงอย่างเดียวก็พอเพราะทรงเป็นแก้วสารพัดนึก ไม่ต้องมีอย่างอื่น และห้ามมีอย่างอื่นโดยเด็ดขาด ไม่ต้องมีระบอบประชาธิไตยที่วุ่นวาย หรือ การเลือกตั้งที่สกปรก และ นักการเมืองที่ทุจริต เพราะ ไม่มีอะไรดีเท่าในหลวง แม้แต่เป๊ปซี่ ที่โฆษณาว่า ดีที่สุด...แล้วก็ตาม
วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557
คนไทยโชคดีหรือโชคร้ายที่มีในหลวง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
7 ความคิดเห็น:
ฉันโชคดีที่ได้เกิดในแผ่นดินไทย ที่มีพระมหากษัตร์เป็นประมุข และโชคดีที่ได้เกิดมาในสมัยพระเจ้าอยู่เป็นพระมหากษัตริ์
ฉันโชคดีที่เกิดในรัชกาลที่ ๙ พระองค์จัสถิตอยู่ในใจตลอดกาล
คนเขียนนี่โคตรมโนเลย ไม่โกรธหรอกนะ สมเพชมากกว่า
เอาเวลาไปปลูกหญ้าแล้วกินแทนข้าวนะน้อง ความจริงก้คือความจริง พระองค์ยิ่งใหญ่กว่าไอ้ควายคนเขียนหลายเท่านัก ไอ้เด็กเมื่อวานซืน
ฉันโชคดีที่เกิดในรัชกาลที่ ๙
มารไม่มี บารมีไม่เกิด
จะถามอีกกี่สิบครั้ง ร้อยครั้ง พันครั้ง หมื่นๆ ครั้ง...ก็จะตอบว่า ฉันคนนี้โชคดีที่สุด ที่มีในหลวง โชคดีที่ได้เกิดในรัชกาลที่ ๙ ...อยู่ใต้ร่มพระบารมีของพระองค์....
ไอ้คนเขียนจงจำไว้... คนเขียนนิยมระบบคอมมิวนิสต์ เที่ยวมากุข่าว สร้างเรื่องกล่าวโทษคนนั่น คนนี้...คนเขียนไม่นิยมระบบพระมหากษัตริย์...หากเป็นเช่นนี้แล้ว คุณจะมาอยู่ในประเทศไทยนี้ทำไม ไปอยู่ไปตายซะที่ประเทศอื่น...แผ่นดินนี้เป็นของพระเจ้าอยู่หัว... น่าสมเพช เวทหายิ่ง...คนเขียน หากมีอันเป็นไปคนไม่ได้ตายดี...
ตอนแรกว่าจะอ่านทุกตอน แต่เลือกอ่านก่อนคือช่วงปรีดีตาย แล้วกล่าวหาว่าพ่อหลวงฯปฎิเสธพระราชพระเพลิงศพให้เพราะผูกใจเจ็บอาฆาตพยาบาท จบเลยเลิกอ่าน แสดงว่าคนเขียนคือนักการเมืองคนหนึ่งที่พยายามโน้มน้าวประชาชนให้เข้าใจพระองค์ฯผิดๆ และถ้าพระองค์ฯมีพระนิสัยแบบนั้น พวกนักการเมืองทั้งหลายแหล่คงไม่ได้มาเห่าลอบกัดพระองค์ฯหรอก
แสดงความคิดเห็น