You can replace this text by going to "Layout" and then "Edit HTML" section. A welcome message will look lovely here.
RSS

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เอาเผด็จการกษัตริย์คืนไป เอาประชาธิปไตยคืนมา

ฟังเสียงพร้อมเพลงประกอบ : http://www.4shared.com/mp3/KpG1fGhy/The_Royal_Legend_05__.html
หรือที่ :
http://www.mediafire.com/?dt4zudfjc3b1ysf


โปรดทราบ : ไฟล์เสียงที่เคยdownloadไม่ได้ บัดนี้ได้แก้ไขแล้ว  โปรดลองเข้าที่linkใหม่
........

ตำนานๆ 009005
: เอาเผด็จการกษัตริย์คืนไป เอาประชาธิปไตยคืนมา

ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่ปกครองโดยพระเจ้า และเป็นถึงพระเจ้าอยู่หัวเลย ทีเดียว แล้วก็สืบทอดความเป็นพระเจ้าชนิดผูกขาดมากว่าสองร้อยปีแล้ว ตั้งแต่พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและพระพุทธเจ้าหลวง ซึ่งดูยิ่งใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าเสียอีก พวกขุนนางจอมสอพลอยังต้องค้นคิดภาษาพูดที่ผิดไปจากมนุษย์ทั่วไป เช่น คำว่าข้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ซึ่งแปลว่าประชาชนเป็นแค่ไพร่ทาสเสมือนฝุ่นใต้อุ้งเท้ากษัตริย์ ซึ่งคงจะแย่มากเพราะลำพังการเป็นแค่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินก็ลำบากมากอยู่แล้ว

ระบอบประชาธิปไตยของไทยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีอำนาจเหนือรัฐบาล ประชาชน ไม่มีศักดิ์ศรีและยินดีเป็นแค่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ไม่มีความเสมอภาคทางสังคม มีการโฆษณาชวนเชื่อมานาน โดยที่ไม่มีใครกล้าต่อต้านและคัดค้านหรือวิจารณ์ เพราะเป็นเรื่องผิดกฏหมาย สถาบันพระมหากษัตริย์ก็เลยได้ใจ ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เปิดโอกาสให้กลุ่มอำมาตย์พัฒนาระบอบกษัตริย์ขึ้นมาจน กลายเป็นเทพเจ้าอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้
การโฆษณาชวนเชื่อที่มีประสิทธิภาพ คือการโฆษณาที่ไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย จากการเป็นอภิสิทธิ์ชนไม่ว่าจะเป็นสถานีโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์และหน่วยงานแห่งรัฐ ตลอดจนองค์กรเอกชน บริษัทห้างร้านต้องมีภาพในหลวง - ราชินี ติดทั่วประเทศจนกลายเป็นกระแสนิยมของสังคม การถ่ายทอดข่าวในพระราชสำนักทุกวัน หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ สื่อทุกสื่อต้องรายงานสรรเสริญสดุดีพระเกียรติยศพระเกียรติคุณราชวงศ์ทุกพระองค์เมื่ออยู่ในวัยเรียนจะผูกขาดกับคำว่าเกียรตินิยม หรือแม้แต่การออกไปกินอาหารนอกวังสักมื้อก็จะต้องเป็นภาระของตำรวจในหลาย ท้องที่ทำหน้าที่อำนวยความสดวกตลอดเส้นทาง ทำให้การจารจรติดขัดมากขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอภิสิทธ์ชน ที่ผูกขาดตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยไปจนถึงผลประโยชน์ระดับชาติ

การยกกษัตริย์ขึ้นสูงเหนือพระเจ้าเป็น การแสดงถึงความไม่เข้าใจ เพราะกษัตริย์เป็นตำแหน่งที่สูงสุดในระดับประเทศเท่านั้น แต่พระเจ้าเป็นตำแหน่งสูงสุดในระดับโลก ซึ่งเทียบกันไม่ได้เลย ไม่เคยมีประเทศอื่นใดสถาปนากษัตริย์ขึ้นเป็นพระเจ้า อินเดียเรียกกษัตริย์ว่าราชา จีนเรียกว่าหวังตี้ (ฮ่องเต้) ส่วนฝรั่งเรียกว่าคิง ตำแหน่งกษัตริย์และพระเจ้ามีที่มาที่แตกต่างกันลิบลับ การที่จะเป็นพระเจ้าได้นั้นต้องผ่านการบำเพ็ญภาวนา สร้างคุณงามความดีปราศจากความมัวหมองทั้งปวงจนเป็นผู้บริสุทธิ์ และได้รับการเคารพนับถือ ยกย่องให้เป็นผู้ที่อยู่เหนือมนุษย์ทั้งปวงด้วยความศรัทธาอย่างพร้อมใจโดย ปราศจากข้อโต้แย้ง ซึ่งไกลเกินกว่าที่ใครก็ตามจะบังอาจอ้างตัวเองว่าเป็นพระเจ้า
ตำแหน่ง กษัตริย์จากอดีตถึงปัจจุบันล้วนมีที่มาจากความรุนแรงทั้งสิ้น การแก่งแย่งช่วงชิงมีมาโดยตลอด มีการเสียเลือดเสียเนื้อ มากบ้างน้อยบ้างเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งกษัตริย์ พอหมดยุคแผ่อิทธิพลและการล่าเมืองขึ้น บทบาทกษัตริย์ที่จะยกทัพไปปล้นหรือตีเมืองขึ้นจึงไม่มี สถาบันกษัตริย์ในหลายประเทศจึงยินยอมถอยห่าง เปิดโอกาสให้มีการเลือกคนที่มีความสามารถ ขึ้นมาจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศแทน ที่เรียกว่าระบอบประชาธิปไตย อย่างเช่นประเทศอังกฤษและญี่ปุ่น แล้วรัฐบาลก็จัดสรรงบประมาณเลี้ยงดูกษัตริย์และราชวงค์ให้อยู่ดีมีสุขเป็น การตอบแทน ความเป็นมาของกษัตริย์ก็มีเพียงเท่านี้เอง ไม่มีกษัตริย์ที่เป็นผู้วิเศษเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สักการะบูชา ซึ่งเป็นแค่เรื่องโฆษณาหลอกลวงอีกต่อไป

เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองวันที่ 24 มิถุนายน 2475 จากระบอบราชา ธิปไตยมาเป็นระบอบประชา ธิปไตยนั้น พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ซึ่งคณะราษฎรได้ประกาศใช้นั้นเป็นเจตนารมณ์เริ่มแรกของการเปลี่ยนแปลงการ ปกครองของคณะราษฎร มีมาตราที่สำคัญ คือ
มาตรา 1 อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎร ทั้งหลาย ไม่ใช่คำว่าอำนาจสูงสุดมาจากประชาชน ซึ่งแปลว่า ประชาชนไม่มีอำนาจจริงๆ
มาตรา 2 ให้มีบุคคลและคณะบุคคลสี่กลุ่มเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎร คือ
1. กษัตริย์
2. สภาผู้แทนราษฎร
3. คณะกรรมการราษฎร
4. ศาล

เป็นการแบ่งอำนาจจริงในสังคมออกเป็น 4 ส่วนและสามารถตรวจสอบกันเองได้
มาตรา 4 การสืบราชบัลลังก์ให้เป็นไปตามกฎมนเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พุทธศักราช 2467 และด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร การสืบราชบัลลังก์ต้องมีการประชุมและได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรเพราะประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และครอบคลุมทุกกิจกรรมในสังคม
มาตรา 5 ถ้ากษัตริย์มีเหตุจำเป็นชั่วคราวที่จะทำหน้าที่ไม่ได้ หรือไม่อยู่ในพระนคร ให้คณะกรรมการราษฎรเป็นผู้ใช้สิทธิแทน
ใน หลายประเทศ ผู้สำเร็จราชการฯ นอกจากเป็นคณะรัฐมนตรีแล้ว อาจให้รัฐสภากำหนดหรือ ประธานสภาฯเป็นเอง คือให้ตัวแทนของประชาชนเป็นผู้กำหนด

มาตรา 6 กษัตริย์จะถูกฟ้องร้องคดีอาญาไม่ได้ เป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรจะวินิจฉัย คือสภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจพิจารณาเรื่องที่พระมหากษัตริย์กระทำผิด
มาตรา 7 การกระทำใดๆของกษัตริย์ต้องมีกรรมการราษฎรลงนามด้วย โดยได้รับความยินยอมของคณะกรรมการราษฎรจึงจะใช้ได้ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ เพื่อป้องกันมิให้พระมหากษัตริย์กระทำขัดเจตนาของประชาชนที่เป็นเจ้าของ อำนาจอธิปไตย และให้คณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรับผิดชอบพระราชกรณียกิจแทนพระมหากษัตริย์ เมื่อเกิดความผิดพลาดหรือถูกฟ้องร้อง
ธรรมนูญ นี้คือ เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ ที่ให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจได้ในเชิงพิธีการเท่านั้น จึงมีความเป็นประชาธิปไตยสูง เช่นเดียวกับในประเทศส่วนใหญ่ จึงควรนำมาใช้อีกครั้งหนึ่ง

ความชอบธรรมของกษัตริย์ไทย
ในฐานะประมุขของประเทศ


สถาบันกษัตริย์ในโลกตะวันตกได้มีการปรับเปลี่ยนตนเอง ให้สอดรับกับระบอบใหม่ที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ที่กำหนดสถานะของพระมหากษัตริย์ และ มีหลักการห้ามฟ้องร้องกษัตริย์ ซึ่งไม่ได้ความว่ากษัตริย์ทำอะไรผิดไม่ได้ แต่การแสดงเจตนาของพระองค์ในทางกฎหมายจะมีผลได้ก็ต้องมีคนลงนามสนองพระบรม ราชโองการ ความรับผิดทั้งหลายทั้งปวงจึงไปอยู่ที่คนลงนามรับสนอง ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงกระทำการโดยพระองค์เองแล้ว การกระทำนั้นย่อมไม่มีผลในทางกฎหมาย ในที่สุดพระมหากษัตริย์ก็ต้องทรงยอมปฏิบัติตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี หรือมิฉะนั้นก็ต้องสละราชสมบัติ เพราะการไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี ย่อมเป็นภัยต่อราชบัลลังก์และอาจถูกกล่าวหาว่ามิได้ทรงวางตนเป็นกลางแต่ไป เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายค้าน

หลักการมิต้องรับผิด รวมถึง พระราชดำรัสทางสื่อสาธารณะ โดยต้องทรงกระทำตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี รวมทั้งกษัตริย์จะไม่ทรงรับสั่งกับทูตานุทูต หรือข้าราชการอื่นใด โดยมิได้กระทำต่อหน้ารัฐมนตรี หรือแม้กระทั่งจะไม่ทรงปรึกษากับหัวหน้าพรรคการเมืองฝ่ายค้านโดยไม่ได้รับ ความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเป็นอันขาด

ประเทศประชาธิปไตยจะไม่อนุญาตให้ ประมุขรัฐที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง พูดอะไรด้วยตัวเองต่อสาธารณะได้ เพราะจะเป็นการละเมิดสิทธิการเมืองขั้นพื้นฐานของประชาชน ซึ่งมีสิทธิ์ที่จะวิพากษ์ ตรวจสอบ กระทั่งรณรงค์ และ ลงมติให้ออกหรือขับไล่ผู้มีตำแหน่งสาธารณะที่ทำอะไรไม่เป็นที่พอใจได้

การเข้าสู่ตำแหน่ง
“พระมหากษัตริย์”



รัฐธรรมนูญแต่เดิมมาให้การขึ้นครองราชย์ของพระมหากษัตริย์เป็นไป
โดยความเห็นชอบของรัฐสภา คือสิทธิในการขึ้นครองราชย์เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล แต่จะได้ขึ้นครองราชย์หรือไม่อยู่ที่ความเห็นชอบของรัฐสภา

หลักเกณฑ์นี้เปลี่ยนแปลงไปในรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2534 คือการตั้งองค์รัชทายาทไม่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา รัฐสภาเพียงแต่รับทราบการจะขึ้นครองราชย์เท่านั้น และให้การแก้ไขกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ ทั้งๆที่การสืบราชบัลลังก์ไม่ใช่เรื่องส่วนพระองค์อย่างแน่นอน เพราะผู้ที่เป็นพระมหากษัตริย์ มีฐานะเป็นประมุขของรัฐและจะทรงเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล เป็นเรื่องสาธารณะที่สำคัญอย่างยิ่ง และในระบอบประชาธิปไตยจะไม่ให้กษัตริย์สามารถทำอะไรด้วยพระองค์เองโดยเด็ด ขาดอย่างเช่นในระบอบสมบูรณาญาสิทธราช โดยเฉพาะในแง่นิติบัญญัติ การตราและแก้ไขกฎหมายต่างๆย่อมเป็นหน้าที่และอำนาจของสภา ไม่ใช่ของพระมหากษัตริย์

แต่รัฐธรรมนูญของไทย กลับมอบอำนาจในการแก้ไขกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ให้กับองค์พระมหากษัตริย์โดยเด็ดขาด รัฐสภามีหน้าที่เพียงรับทราบ ข้อ กำหนดเช่นนี้ย่อม ขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานที่ว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย และพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล  และยังให้อำนาจพระมหากษัตริย์ทรงตั้งรัชทายาท

และเมื่อราชบัลลังก์ว่างลง ก็เพียงแต่เรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบเท่านั้น ว่าพระมหากษัตริย์องค์ก่อนทรงกำหนดให้ใครเป็นกษัตริย์สืบต่อจากพระองค์ รัฐสภาไม่ต้องให้ความเห็นชอบ เท่ากับเป็นการมอบอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชแก่พระมหากษัตริย์ในการกำหนด รัชทายาทโดยสิ้นเชิง เฉพาะกรณีที่ไม่ได้ทรงกำหนดรัชทายาทไว้ก่อน รัฐสภาจึงจะมีสิทธิ์ให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบ แต่กรณีนี้ไม่มีความหมายอะไรในปัจจุบัน เพราะทรงแต่งตั้งรัชทายาทแล้ว ทั้งๆที่การเลือกพระมหากษัตริย์ครั้งแรกหลัง 2475 คือ การที่รัฐสภาเลือกพระองค์เจ้าอานันทมหิดล ขึ้นเป็นรัชกาลที่ 8 นั้น ซึ่งไม่ได้รับเสียงเป็นเอกฉันท์จากรัฐสภาโดยมีผู้อภิปรายและลงคะแนนไม่เห็น ด้วย 2 เสียง เป็นอำนาจในการกำหนดประมุขรัฐโดยองค์กรที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน ซึ่งเป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย

คำ ว่าระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทย จึงมีลักษณะเป็นคำเฉพาะที่มีลักษณะขัดแย้งกัน คือไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยที่ประมุขแห่งรัฐบังเอิญเป็นกษัตริย์ แต่เป็นระบอบประชาธิปไตย หรือระบอบการปกครองอีกแบบหนึ่งที่แตกต่างออกไป คือ ประชาธิปไตยแบบไทยๆที่เคยเป็นในสมัยหลังรัฐประหาร 2502 ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รวมทั้งการแอบอ้างหลักการปกครองแบบพ่อปกครองลูก เพื่อทำให้ประชาชนไทยยอมจำนนสยบราบคาบต่อไปพระมหากษัตริย์ทรงเถลิงราชย์ด้วยการสืบสันตติวงศ์ การที่จะบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจมากเหมือนประมุขที่มาจาก การเลือกตั้งย่อมไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และจะทำให้ทรงอยู่ในขอบข่ายของการถูกวิจารณ์ พระมหากษัตริย์จึงต้องมีอำนาจน้อยกว่าสภาผู้แทนราษฎรเพราะทรงมีอำนาจเพียง แค่ทำให้รัฐกิจเป็นไปตามเจตจำนงของราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งฝ่ายเสียงข้าง มากเท่านั้น คือบัญญัติอำนาจให้กับกษัตริย์ต้องชอบด้วยระบอบประชาธิปไตย

ประเทศสวีเดนมีรัฐธรรมนูญให้กษัตริย์เป็นประมุขของรัฐโดยเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ตกทอดกันมาทางประวัติศาสตร์เท่านั้น โดยยกเลิกการลงพระปรมาภิไธย และการสนองพระบรมราชโองการ องค์กรผู้ทำหน้าที่ประกาศใช้กฎหมายคือรัฐบาล ไม่ใช่กษัตริย์ ไม่ต้องมีกระบวนการทูลเกล้าฯถวายร่างพระราชบัญญัติให้กษัตริย์ลงพระ ปรมาภิไธย ให้ประธานสภาเป็นผู้ลงนามแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี เป็นการตัดพระราชอำนาจของกษัตริย์ และให้ยุบองค์กรองคมนตรี หากกษัตริย์พักงานในหน้าที่เกิน 6 เดือน หรือล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ ประธานสภาอาจเสนอให้ที่ประชุมสภาพิจารณาว่าสมควรถอดกษัตริย์ออกจากบัลลังก์ หรือไม่ ในกรณีกษัตริย์ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หรือไม่มีผู้ทำหน้าที่กษัตริย์ ให้สภาเลือกผู้สำเร็จราชการแทนชั่วคราว หากไม่มีผู้ใดได้รับความเห็นชอบ ก็ให้ประธานสภาเป็นผู้สำเร็จราชการแทน โดยปัจจุบันกษัตริย์สวีเดนทำหน้าที่ต้อนรับพระราชอาคันตุกะ เข้าร่วมพิธีการสำคัญ เข้าร่วมรัฐพิธีเปิดประชุมสภา และเป็นผู้มอบรางวัลโนเบลเท่านั้น

กษัตริย์ กับ ระบอบรัฐซ้อนรัฐ


ปัจจุบัน ประชาชนไทยทั่วไปได้รู้เห็นแล้วว่า ความวุ่นวายทางการเมือง รวมทั้งขบวนการทำลายระบอบประชาธิปไตย ในช่วง 4 ปีมานี้ (รวมการรัฐประหารปี 2549) นั้นได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากวัง หรือกษัตริย์นั่นเอง เครือ ข่ายวังที่ประกอบด้วย ทหาร ตำรวจ ตุลาการ นักวิชาการ สื่อมวลชน และกลุ่มอันธพาลจัดตั้ง ซึ่งมีกษัตริย์เป็นศูนย์กลาง ซึ่งเคยใช้อำนาจอย่างอำพรางซ่อนเร้นมาในอดีต ได้ประกาศตัวออกมายืนมาอยู่แถวหน้าสุดของขบวนการต่อต้านประชาธิปไตยอย่าง เป็นระบบ ทั้งหลอกลวง ใส่ร้ายป้ายสี และปราบปราม จนไม่อาจปิดบังอำพรางได้อีกต่อไป ยิ่งใกล้ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงกษัตริย์ เครือข่ายเจ้าก็ยิ่งแสดงอาการหวั่นกลัว ด้วยการแสดงพฤติกรรมลุแก่อำนาจอย่างหมดเปลือก เป็นกระบวนการทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาในสถาบันกษัตริย์จากการอ้างการปก ป้องราชบัลลังก์ ก่อเรื่องทำให้กติกาสังคมถูกละเมิดไปแทบหมดสิ้น แม้แต่การรัฐประหารล้มล้างรัฐธรรมนูญ ยังถูกสร้างภาพให้เจิดจรัสภายใต้ความเห็นชอบของกษัตริย์ จนกระทั่งคำประณามทั้งหลายได้พุ่งเป้าไปที่กษัตริย์

กว่า 60 ปีของการครองราชย์ที่นานที่สุดในโลก แต่กษัตริย์ได้เปิดเผยตัวตนว่าทรงกระหายอำนาจ ส่งเสริมเผด็จการ และอยู่ตรงข้ามกับผู้รักประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ ทั้งๆที่โลกได้เปลี่ยนไปมากแล้ว กษัตริย์ไทยเป็นแกนกลางที่สร้างระบอบรัฐซ้อนรัฐ ที่ผูกขาดอำนาจต่อเนื่องผ่านเครือข่ายเจ้าและพันธมิตร โดยชักจูงให้สังคมปฏิเสธความเข้มแข็งของระบบพรรคการเมืองและการเลือกตั้ง เพื่อสนับสนุนเผด็จการทหาร สลับด้วยการสนับสนุนประชาธิปไตยจอมปลอมผ่านพรรคการเมืองที่จงรักภักดีต่อ เจ้าให้ขึ้นเป็นรัฐบาลตัวแทนเจ้า เปรียบได้กับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชใหม่ ที่มีกษัตริย์เป็นแกนกลางในนามประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่อ้างว่า ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด แต่ละประเทศต่างก็เป็นประชาธิปไตยตามแนวทางของตน เพราะมีสังคม ประเพณีวัฒนธรรมและจริยธรรมที่แตกต่างกัน อย่างที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้ให้สัมภาษณ์นิตยสารฟาร์อีสเทิร์นอีโคโนมิครีวิว 12 ชั่วโมงก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ว่า : “เราคือราชอาณาจักร คนไทยทั่วไปรักในหลวงมาก ถ้าคุณเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นวันที่ 9 มิถุนายน คุณก็จะเห็นได้ว่าเรารักพระมหากษัตริย์เพียงใด นี่คือสิ่งที่แตกต่างระหว่างประเทศของคุณกับผม”

ประชาธิปไตยแบบไทยๆ
ของพลเอกเปรม ก็ คือ


1.ประชา ธิปไตยที่องคมนตรีมีอำนาจแทรกแซงการเมือง ทั้งๆที่ องคมนตรีเป็นเพียงองค์กรที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ซึ่งไม่มีอำนาจทางการ เมือง สเปนและญี่ปุ่นก็ไม่มีองคมนตรี ในหลายประเทศองค์กรที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ในกิจการของวัง ก็คือ สำนักพระราชวังและราชเลขาธิการเท่านั้นเอง แต่ รัฐธรรมนูญของระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ ต้องบัญญัติให้มีองคมนตรีเสมอ และการร่างรัฐธรรมนูญทุกครั้งห้ามแตะต้องบทบัญญัติที่เกี่ยวกับองคมนตรีเป็น อันขาด หากจะแก้ไข ก็ต้องแก้ไปในทางที่เพิ่มอำนาจ ในระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ องคมนตรีมีบทบาททางการเมืองสูง แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะไม่ได้ให้อำนาจทางการเมืองแก่องคมนตรี หากในความเป็นจริง องคมนตรีสามารถเข้ามาแทรกแซงทางการเมืองได้เสมอ ในการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูง รัฐบาลจำเป็นต้องส่งรายชื่อให้องคมนตรีบางคนพิจารณาก่อน นายกรัฐมนตรีต้องเข้าบ้านสี่เสาเทเวศน์เพื่อปรึกษาหารือ ถ้าไม่ปฏิบัติก็อาจถูกมองว่ากระด้างกระเดื่องต่อองคมนตรีและเจ้า ทำให้ต้องหลุดจากวงการการเมืองไปในที่สุด บารมีขององคมนตรีบางคนโดยเฉพาะพลเอกเปรมสำคัญกว่ารัฐธรรมนูญ และเป็นคนที่แตะต้องมิได้ ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พลเอกเปรมประธานองคมนตรีได้เดินสายปาฐกถาทั่วประเทศปลุกทหารให้ลุกขึ้นมาปก ป้องบ้านเมือง หลังรัฐประหาร พลเอกเปรมนำคณะรัฐประหารเข้าเฝ้าฯในหลวง การแต่งตั้งคณะรัฐบาลโดยคณะรัฐประหาร ก็ต้องผ่านการหารือกับประธานองคมนตรี และยังยืนยันรับรองว่าพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์นายกรัฐมนตรีของคมช.เป็นคนที่ดีที่สุด

2.ประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นได้เพียงข้าแผ่นดิน ไม่ใช่ พลเมือง การปกครองบ้านเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆนั้นสงวนให้กับคนชั้นสูงเท่า นั้น และต้องการให้ประชาชนที่เป็นเพียงข้าแผ่นดิน ที่ต้องคอยรับคำสั่งของผู้ปกครอง แม้ไม่เห็นด้วยก็จำต้องอดทน จะลุกขึ้นโต้แย้งแสดงความเห็นต่างไม่ได้ ข้าแผ่นดินที่ดีต้องเชื่อว่าคนชั้นสูงกระทำแต่สิ่งที่ดี มีความปรารถนาดีให้กับข้าแผ่นดิน สิ่งใดที่ผู้ปกครองคนชั้นสูงสั่งลงมา ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ดังนั้น หากพวกเขาทำรัฐประหารล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็จงรู้ไว้ว่าที่คนชั้นสูงได้ทำลงไปเพราะพิจารณาแล้วว่าถูกต้อง ข้าแผ่นดินจึงไม่ควรมาต่อต้านหรือชุมนุมประท้วง แต่ควรตั้งใจฟังคำสั่งให้ดี จะได้ไม่ต้องย้ำว่า “โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง”

3.ประชา ธิปไตยที่รัฐบาลเสียงข้างมากจำต้องประนีประนอมกับพวกคนชั้นสูง รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายที่ไม่ขวางทางหรือขัดผลประโยชน์ของคนชั้นสูง ต้องไม่แสดงท่าทีก้าวร้าว หรือทำตัวเด่นเกินหน้าเกินตา คือเป็นรัฐบาลที่ไม่มีอะไรโดดเด่นหรือมีผลงานชัดเจนก็จะช่วยให้มีเสถียรภาพ อยู่ได้นานหน่อย แต่รัฐบาลใดที่ดำเนินนโยบายกระทบผลประโยชน์ของคนชั้นสูง ก็จะถูกกำจัด

4.ประชา ธิปไตยที่เชื่อว่าการเลือกตั้งไม่ใช่ตัวชี้ว่าเป็นประชาธิปไตย พวกเขาเชื่อว่าการเลือกตั้งไม่ใช่ของจำเป็น เพราะมีแต่กลโกงสกปรก ซื้อสิทธิขายเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกชาวบ้านต่างจังหวัดไร้การศึกษา เลือกใครมาก็สันนิษฐานไว้ก่อนว่าโดนซื้อเสียงแน่ จึงต้องให้บรรดาชนคนชั้นสูงเป็นผู้มีบทบาททางการเมือง ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งทางการเมืองเอง หรือเป็นผู้แต่งตั้ง เพราะ พวกเขาเป็นผู้มีคุณธรรม เป็นคนดีมีความรู้ความสามารถมากกว่าประชาชนทั่วไป
นายกรัฐมนตรีคนไหนดีหรือไม่ดี ต้องให้คนชั้นสูงเท่านั้นที่จะเป็นคนกำหนด

5.ประชา ธิปไตยที่มีกองทัพเป็นผู้พิทักษ์รักษา
กองทัพต้องเป็นผู้พิทักษ์รักษาการเมืองการปกครอง และต้องคอยสอดส่องว่าสถานการณ์การเมืองเป็นเช่นไร มีความขัดแย้งมากขนาดไหน ถึงเวลาที่ควรเข้ามาแก้ไขวิกฤตหรือยัง เมื่อกองทัพเห็นว่าถึงเวลาอันสมควร ก็จะเข้ามาจัดการไล่รัฐบาลออกไปแล้วยึดอำนาจไว้แทน กองทัพมีเหตุผลในการยึดอำนาจเสมอ หากนึกหาเหตุผลไม่ได้ ก็ให้ใช้สองเหตุผลหลัก คือ รัฐบาลมีพฤติกรรมไม่จงรักภักดีหมิ่นสถาบันกษัตริย์ และ รัฐบาลทุจริตคอร์รัปชั่น

6.ประชา ธิปไตยที่ปราศจากการตรวจสอบและความรับผิดชอบ เพราะเราต้องเชื่อว่าผู้ปกครองมีคุณธรรมสูงส่ง ต้องเชื่อและไว้ใจในการใช้อำนาจของผู้ปกครอง สิ่งใดที่ผู้ปกครองกระทำ ย่อมถือว่าถูกต้องและดีงามเสมอ เพราะผู้ปกครองมีคุณธรรมสูงอยู่แล้ว ในกรณีที่ผู้ปกครองทำผิดกฎหมายหรือกติกาไปบ้าง ก็อย่าใส่ใจและอย่าเรียกร้องให้รับผิด แม้จะผิดกฎหมายบ้าง แต่คุณธรรมก็อยู่เหนือกฎหมายอยู่ดี การตรวจสอบและความรับผิดชอบไม่ใช่สิ่งจำเป็น และ ผู้ที่จะบอกว่าสิ่งใดเป็นคุณธรรม ก็คือบรรดาผู้ปกครองผู้ทรงคุณธรรมนั่นเอง

พวกเจ้ายังได้สร้างเรื่องหลอกสังคมไทย
ให้ย้อนกลับไปเชิดชูพระราชอำนาจ ว่า


-หากไม่มีกษัตริย์ ประเทศไทยจะดำรงอยู่ไม่ได้ ประชาชนจะไร้ที่พึ่งพา ทั้งๆที่ประชาชนเป็นฝ่ายอุปถัมถ์เลี้ยงดูกษัตริย์และพระราชวงศ์
-เรียกร้องว่าความสามัคคีจอมปลอมเหนือกว่ายุติธรรมของสังคม และแยกชาติออกจากประชาชน โดยอ้างความมั่นคงของชาติอยู่เหนือประชาชน

-อ้างว่ารัฐบาลเผด็จการคนดีที่พวกตนแต่งตั้งย่อมดีกว่ารัฐบาลที่มาจากเลือกตั้งของประชาชน ทหารและกองทัพ คือผู้พิทักษ์ราชบัลลังก์ และประเทศชาติ และเป็นทหารของพระเจ้าอยู่หัวไม่ใช่ทหารของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

-โฆษณาว่าในหลวงทำงานหนักเพื่อคนไทย ทั้งๆ ที่ประชาชนส่วนใหญ่ทำงานหนักกว่าในหลวง อีกทั้งยังต้องเสียภาษีให้กับรัฐ ในขณะที่พวกเจ้าแค่โฆษณาสร้างภาพ และร่ำรวยโดยไม่ต้องเสียภาษี


-เผยแพร่กิจกรรมของราชวงศ์ผ่าน สถานีโทรทัศน์ทุกช่องทุกๆวัน แต่ละครั้งจะมีคนติดตามเป็นจำนวนมากมีค่าใช้จ่ายที่แพง ถ้าคนพวกนี้ฉลาดและต้องการทำงานเพื่อสังคมจริงก็ควรรู้จักประหยัดเพราะพวก เขาเอาเงินภาษีของประชาชนไปใช้จ่าย การเดินทางของคนพวกนี้ ก็ไม่ควรจะมีอภิสิทธิ์กว่าคนอื่น เช่น การปิดถนน ห้ามคนเดินข้ามสะพานลอย คนป่วย คนจะคลอดลูก คนที่มีธุระสำคัญต้องเสียเวลาไปกับขบวนเสด็จมากเกินไป สถาบันที่มีประโยชน์ต่อประเทศไม่ควรทำตัวแบบนี้ การติดรูปราชวงศ์ในที่ต่างๆมากมายทั่วประเทศ ทำไปเพื่ออะไร กลัวคนจะจำไม่ได้หรือ น่าจะใช้ประชาสัมพันธ์สิ่งที่มีสาระประโยชน์ต่อประชาชนจะดีกว่า

-มีการอวดอ้างแสดงความจงรักภักดี ที่ไม่มีประโยชน์หรือแก้ปัญหาอะไรได้ และ ใช้ความเชื่อเก่าๆว่ากษัตริย์ต้องดำรงอยู่คู่สังคมไทย แถมมีการปลุกระดมให้มวลชนบ้าคลั่งกระหายเลือดไล่ฆ่า ไล่ทำร้ายคน ตามท้องถนน ยึดทำเนียบรัฐบาล ปิดสนามบินโดยไม่คำนึงถึงคนที่เดือดร้อน คนต้องตกงานเป็นแสน โดยข้ออ้างของความจงรักภักดีซึ่งเป็นข้ออ้างหลักของพวกทำลายประชาธิปไตยตลอด มา

-อ้างว่าสถาบันกษัตริย์มีบุญคุณกับคนไทย เพราะ
ทำให้ไทยเป็นเอกราช ไม่ ตกเป็นทาสเป็นเมืองขึ้นพม่า แต่ความจริงผู้ที่กอบกู้เอกราชของชาติจากพม่าคือพระเจ้าตากสินมหาราช ต่อมาถูกพระยาจักรียึดอำนาจเมื่อ 6 เมษายน 2325 แล้วสถาปนาราชวงศ์จักรีมาจนถึงทุกวันนี้
และไทยเกือบเสียเอกราชอีกครั้งในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่นายปรีดี พนมยงค์ นำประเทศไทยรอดพ้นสภาพการตกเป็นเมืองขึ้นหรือประเทศที่แพ้สงคราม โดยจัดตั้งขบวนการเสรีไทย แต่ต่อมานายปรีดีถูกกลุ่มนิยมเจ้าใส่ความกรณีสวรรคตของรัชกาล 8 ต้องลี้ภัยไปถึงแก่อสัญกรรมในต่างประเทศ

-อ้างว่าสถาบันกษัตริย์มีบุญคุณต่อคนไทยอย่างใหญ่หลวง ในหลวงมีโครงการพระราชดำริมากมาย ช่วยคนไทยให้พ้นความลำบากยากจน
ความจริงก็คือโครงการพระราชดำริไม่ได้ใช้เงินส่วนพระองค์ของในหลวง แต่เป็นหน่วยงานราชการคือ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หรือ กปร. ใช้เงินงบประมาณของประชาชนดำเนินงาน-อ้างว่าในหลวงเป็นแบบอย่างความพอเพียง คนไทยต้องเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท
ความ จริง ก็คือนิตยสารฟอร์บได้จัดอันดับให้รัชกาลที่ 9 เป็นกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก เหนือกว่าสุลต่านบรูไนและกษัตริย์ของอาหรับที่มีบ่อน้ำมัน
ส่วนสำนักข่าวบลูมเบอร์กได้จัดให้ในหลวงเป็นนักลงทุนอันดับ 1 ในตลาดหุ้นไทย
ใน ด้านราชยานพาหนะนั้น ในหลวงและสถาบันไม่ได้มีเฉพาะโตโยต้าโซลูน่าคันเล็กๆ แต่รวมถึงรถยนต์มายบั๊คคันละ 75 ล้านบาทไม่น้อยกว่าสี่คัน และเครื่องบินอีกหลายลำ ซึ่งใช้งบประมาณแผ่นดินจัดซื้อและจัดซ่อมบำรุงทั้งสิ้น
-อ้างว่าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นของชาติ ไม่ใช่ของส่วนพระองค์ และเสียภาษีถูกต้องครบถ้วน
ความจริง คือรายได้ของสำนักงานทรัพย์สินฯ ให้นำทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงใช้จ่ายตามพระราชอัธยาศัย
-แอบอ้างว่าคนไทยต้องสำนึกในบุญคุณของในหลวงและสถาบัน เพราะท่านทำเพื่อคนไทยอย่างไม่เห็นแก่เหนื่อยยาก ความจริง คือมีการจัดสรรงบประมาณถวายแด่สถาบันเพื่อให้ได้รับความสะดวก ปีละไม่น้อยกว่า 2 พันล้านบาท ยังไม่นับรวมกับที่อยู่ในหน่วยงานกระทรวง ทบวง กรม กองทัพต่างๆอีก ปีละไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท

ระบอบรัฐซ้อนรัฐของเครือข่ายเจ้าที่ยึดอำนาจเหนือการเมืองไทย ทำให้ประชาชนไม่มีทางเลือก กษัตริย์และเครือข่ายเจ้าต้องการครอบงำสังคมและรัฐไทยอย่างเบ็ดเสร็จ โดยยังคงดื้อรั้น ไม่ยอมพัฒนาไปสู่ระบอบประชาธิปไตย แม้ว่าคณะราษฎรจะทำการปฏิวัติผ่านไปแล้วกว่า 70 ปีแต่ก็ยังไม่บรรลุผลสำเร็จ เพราะกษัตริย์และเครือข่ายเจ้าได้ยึดกุมอำนาจในทุกๆด้านไว้อย่างเหนียวแน่น

ทำไมต้องจงรักภักดี

ใน ระบบประชาธิปไตยการมีประมุขไม่ว่าจะเป็นกษัตรย์หรือประธานาธิบดี ไม่ได้แปลว่าพลเมืองจะต้องจงรักภักดีต่อประมุขแต่อย่างใด ตรงกันข้ามประมุขจะต้องจงรักภักดีต่อประชาชนผู้เป็นพลเมือง เพราะในระบบประชาธิปไตยประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยสูงสุด ในกรณีที่ประเทศมีระบบประธานาธิบดีประมุขจะต้องได้รับการเลือกมาจากประชาชน ประชาชนจึงเป็นเจ้านายของประธานาธิบดี ในกรณีที่คนส่วนใหญ่อยากมีประมุขเป็นกษัตรย์ กษัตริย์จะต้องรับใช้ประชาชนและจะต้องสะท้อนความคิดของประชาชน จึงจะเป็นศูนย์รวมของชาติได้ กษัตริย์ต้องสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ถ้ากษัตริย์เข้าข้างคนส่วนน้อยที่มีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญระบอบประชาธิปไตย ต้องถือว่ากษัตริย์ละเมิดอำนาจของประชาชน

ทำไมต้องบังคับให้ประชาชนต้องจงรักภักดีต่อคนๆหนึ่งที่บังเอิญเกิดมาในตระกูลหนึ่ง ทำไมสถาบันกษัตริย์จึงกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และ ยัดเยียดว่าสถาบันกษัตริย์อยู่เคียงข้างสังคมไทย มาตั้งแต่มีโลกมนุษย์ และได้ทำให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขเสมอมา ซึ่งเป็นเรื่องโกหกเพียงเพื่อให้พลเมืองกลายเป็นไพร่ วิกฤติเศรษฐกิจที่นำไปสู่การปฏิวัติ 2475 และเผด็จการทหารที่ครองเมืองมานานพร้อมกับการโกงกินมหาศาล หรือวิกฤติการเมืองที่เกิดขึ้น ได้ชี้ให้เห็นว่าสถาบันกษัตริย์ไม่มีประสิทธิภาพในการสร้างความอยู่เย็นเป็น สุขให้กับประชาชน แถมยังทำตัวเป็นอุปสรรคและเอาเปรียบสังคม เพราะกษัตริย์ไม่ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ไม่ห้ามคนที่เอาเปรียบประชาชน และเครือข่ายเจ้าใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อประโยชน์ส่วนตน ทั้งๆที่ตนร่ำรวยมากมายอยู่แล้ว กษัตริย์พระองค์นี้เติบโตมากับเผด็จการโกงกิน สฤษดิ์ ถนอม ประภาส กษัตริย์พระองค์นี้ปล่อยให้คนบริสุทธิ์ถูกประหารชีวิตในคดีสวรรคต รัชกาลที่ 8
กษัตริย์พระองค์นี้สนับสนุนเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลา 2519 เพราะทรงมองว่ายุคนั้นไทยมีประชาธิปไตยมากเกินไป และทรงอุปถัมภ์อันธพาลลูกเสือชาวบ้าน กระทิงแดง นวพล และตชด.ที่บุกเข้าเข่นฆ่านักศึกษาและประชาชนในธรรมศาสตร์

กษัตริย์พระองค์นี้ปล่อยให้ คปค.ทำรัฐประหาร 19 กันยา 2549 และปล่อยให้ประชาธิปไตยของเราถูกปล้นไปโดยทหาร พันธมิตรฯเสื้อเหลือง และพรรคประชาธิปัตย์ ในนามของกษัตริย์

เห็นได้ชัดจากการที่พระราชินีเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ไปพระราชทานเพลิงศพน้องโบว์เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2551 โดยมีพระราชเสาวนีย์กับผู้เป็นพ่อของน้องโบว์ว่า “ลูกสาวเป็นเด็กดี ช่วยชาติ ช่วยรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์” และพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบความแล้ว และเงินช่วยเหลือที่พระราชินีได้พระราชทานในครั้งนี้นั้นเป็นเงินพระราชทาน จากพระเจ้าอยู่หัว เป็นหลักฐานยืนยันว่ากษัตริย์พระองค์นี้ทรงสนับสนุนพวกอันธพาลที่บ่อนทำลายและล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ประเทศไทยควรมีประมุขแบบใหน

กษัตริย์ ไทยมีหน้าที่ต้องปกป้องประชาธิปไตยอย่างชัดเจน ไม่ใช่ออกมาสนับสนุนการฉีกรัฐธรรมนูญ การทำรัฐประหาร และการทำลายสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกหรือการรวมตัวกันอย่างสันติ เพราะนั่นไม่ใช่กรอบของประชาธิปไตย กษัตริย์ไทยไม่ได้ปกป้องระบอบประชาธิปไตยจากการทำรัฐประหารที่ฉีกรัฐธรรมนูญในวันที่ 19 กันยายน 2549 และทรงสนับสนุนคณะทหารที่ละเลยหน้าที่ของตนเองและละเมิดกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ปี 2540 คณะทหารที่ยึดอำนาจและทำลายประชาธิปไตยได้อ้างอิงความชอบธรรมจากกษัตริย์ เช่นการเสนอพระบรมฉายาลักษณ์ในจอโทรทัศน์อย่างต่อเนื่องในวันแรกๆ การผูกโบสีเหลือง การไปเข้าเฝ้า และการที่ให้ผู้แทนของกษัตริย์ไปเปิดสภาเผด็จการที่ทหารแต่งตั้ง ประชาชนไทยควรได้รับรู้ข้อมูลและความจริงเพื่อความชัดเจนและเพื่อให้สังคม ได้ตรวจสอบทุกองค์กรและสถาบันสำคัญๆ ในสังคม ประชาชนไทยเราต้องการประมุขที่กล้าปกป้องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย หรือเราต้องการประมุขที่สนับสนุนการทำลายประชาธิปไตยโดยทหาร ประชาชนไทยต้องการมีประมุขที่เป็นกษัตริย์เพื่อให้มีบทบาทหน้าที่จำกัดที่เน้นพิธีกรรม และอยู่ใต้กฎหมายในระบอบประชาธิปไตยใช่หรือไม่
เมื่อ มีกฎหมายบังคับให้มีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินของผู้ที่ดำรงตำแหน่งสาธารณะ หรือการบังคับให้คุณทักษิณและลูกหลานจ่ายภาษี ก็ต้องบังคับใช้กับทุกคนรวมถึงกษัตริย์และพระราชวงศ์ ซึ่งต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน และควรมีการเก็บภาษีเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไปจึงจะนำไปสู่การรณรงค์ให้ทุกฝ่ายรู้จักความพอเพียง
ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พระมหากษัตริย์จะแสดงบทบาททางการเมืองใดๆมิได้ พระมหากษัตริย์จึงเป็นสัญลักษณ์ที่แท้จริงของประเทศ ถ้ากษัตริย์ลงมาใช้อำนาจแทรกแซงก็เป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การเรียกร้องให้กษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจแบบรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ถือว่าเป็นการเรียกร้องระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ให้กลับคืนมา
สถาบัน กษัตริย์ ยังใช้กองทัพเป็นเครื่องมือในการโค่นล้มรัฐบาลด้วยการทำรัฐประหาร แล้วรุกคืบใช้องค์กรอำนาจตุลาการร่วมมือกับกองทัพแต่งตั้งคณะบุคคลขึ้นมา เขียนกฏหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้คนของตนเข้าไปยึดครองอำนาจนิติบัญญัติ และแต่งตั้งพวกพ้องตนเองเข้าไปดำรงตำแหน่งในองค์อิสระต่างๆทำหน้าที่ทำลาย พรรคการเมืองและนักการเมืองที่มีคุณภาพ เพื่อให้พรรคการเมืองอ่อนแอ ไม่ต้องการให้พรรคการเมืองพรรคใดชนะการเลือกตั้งครองเสียงข้างมาก

ตราบ เท่าที่เรายังยินยอมให้กษัตริย์เป็นประมุขที่มีอำนาจเหนือประชาชน ประชาชนก็จะไม่มีสิทธิและเสรีภาพ เพราะเพียงแค่กฏหมายหมิ่นฯ เพียงฉบับเดียวก็สามารถกดหัวคนไทยทั้งประเทศให้กลายเป็นใบ้ไปทั้งหมด ไม่มีสิทธิเสรีภาพ ไม่มีความเสมอภาค เป็นได้แค่ไพร่ทาส และยังถูกสอนแกมบังคับให้ยอมรับว่าทุกคนเกิดมาต้องเป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน การแอบอ้างว่าปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นั้นมีเนื้อหาสาระแท้จริงที่คือการปกป้องสถาบันกษัตริย์เพื่อทำลายระบอบ ประชาธิปไตย เพราะ ถ้าอ้างประชาธิปไตย ก็ต้องยอมรับเรื่องสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค
กษัตริย์พระองค์นี้จึงเป็นตัวแทนของระบอบเผด็จการล้าหลัง ที่คอยบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด ประชาชนชนไทยจึงต้องเลือกระหว่างระบอบเผด็จการที่มีพระมหากษัตริย์เป็นหัวหน้า หรือ ระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนไทยเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง
ทางอื่นนอกจากนี้มีความเป็นไปได้น้อยมาก
เมื่อประเมินจากพฤติกรรมของพระเจ้าอยู่หัวตลอดระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 50 ปีที่ผ่านมา

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น