You can replace this text by going to "Layout" and then "Edit HTML" section. A welcome message will look lovely here.
RSS

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สยามยุคนักล่าอาณานิคม (ต่อ)


สยามยุคนักล่าอาณานิคม

ในสมัยรัชกาลที่ 4 และ 5 หรือเมื่อราวเกือบสองร้อยปีก่อน ที่ราบลุ่มเจ้าพระยาส่วนใหญ่ยังเป็นป่าที่เต็มไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้และช้าง ป่า บริเวณใกล้ทะเลหรือแม่น้ำมีพื้นที่ชุ่มน้ำเต็มไปด้วยหญ้าคาและจระเข้ สองฟากฝั่งแม่น้ำส่วนมากยังรกร้างและเต็ม ไปด้วยป่าทึบ มีประชากรในที่ราบลุ่มภาคกลางประมาณ 5 แสนคนเท่านั้นในปี 2390 พอหนึ่งร้อยปีต่อมาจึงมีชาวบ้านเข้ามาตั้งบ้านเรือนเฉลี่ยปีละประมาณ 7 พันครัวเรือน ขยายที่นาเพิ่มขึ้นกว่า 2 แสนไร่ จนได้มีคลองตัดผ่านเป็นเหมือนตาหมากรุกมีที่นาผุดขึ้นทุกหนแห่งเมื่อปี 2493

มีชาวจีนอพยพเข้ามาตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์โดยนำเมล็ดพันธุ์พืชหลากหลาย ชนิดเข้ามาปลูก รวมทั้งพวกไพร่ที่หลีกเลี่ยงการเข้าเวรก็เข้าไปทำไร่บุกเบิก เริ่มแรกพากันปลูกอ้อยเป็นส่วนใหญ่ แต่ตลาดอ้อยซบเซาเพราะน้ำตาลจากยุโรปและชวาหรืออินโดนีเซียราคาถูกกว่าใน ช่วงทศวรรษ 2410 จึงหันมาปลูกข้าวกันเป็นหลัก ขณะที่ประเทศอาณานิคมของฝรั่งรอบๆเมืองไทยมีการขยายตัวของคนที่ทำงานในเมือง หรือในไร่ที่ปลูกพืชที่ไม่ใช่อาหารทำให้มีความต้องการข้าวมากขึ้น อีกทั้งมีการใช้เรือกลไฟขนส่งสินค้าหนักทางน้ำจึงช่วยลดต้นทุนการขนส่งข้าว ได้มาก ขณะที่ชาวนาเข้าบุกเบิกจับจองที่ดินบริเวณที่ราบลุ่มเจ้าพระยาและชายฝั่ง คลองที่ขุดขึ้นเพื่อเป็นเส้นทางขนส่งทางเรือ กษัตริย์ก็เริ่มมีนโยบายขุดคลองนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 2400 เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกราชวงศ์ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วได้เข้าจับจอง ที่ดิน ทรงขุดคลองใหม่หลายแห่งและโปรดให้แบ่งที่ดินสองฝั่งคลองให้กับบรรดาพระญาติ พวกขุนนางก็เจริญรอยตาม เช่น ตระกูลบุนนาคซึ่งขุดคลองไปทางตะวันตก ตระกูลสนิทวงศ์ขุดคลองที่ทุ่งรังสิตเพื่อทดน้ำออกจากบริเวณที่กว้างใหญ่ถึง 1.5 ล้านไร่ โดยกษัตริย์เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนแบ่งที่ดินสองฝั่งคลองเป็นผืนใหญ่ราว 1,500 ถึง 3,000 ไร่ โดยมีไพร่ในสังกัดตระกูลขุนนางเป็นแรงงาน มีชาวบ้านอพยพมาจากอีสานเพื่อมาเช่าที่ดินและทำงานเป็นลูกนา รัฐบาลได้ออกกฎหมายที่ดิน มีการออกโฉนดที่ดิน ทำให้ราคาที่ดินสูงขึ้นหลายเท่าตัว สร้างผลกำไรแก่พวกราชวงศ์อย่างมากมายมหาศาล

จากความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ราบลุ่มเจ้าพระยา ทำให้ชาวบ้านสามารถผลิตได้เองและใช้ได้เองโดยเกือบจะไม่ต้องซื้อหาจากภายนอก และจะขายผลผลิตส่วนที่เหลือกินเหลือใช้โดยมีพวกพ่อค้าจีนเดินทางขึ้นล่องตาม ลำน้ำเป็นตัวเชื่อมชาวนากับตลาดภายนอก โดยจัดส่งเรือเอี่ยมจุ๊นขนส่งข้าวส่วนเกินของชาวนาไปส่งโรงสี จนกระทั่งข้าวได้กลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญที่สุดและเป็นรายได้หลักของ รัฐบาล จนมีการส่งเสริมให้มีการบุกเบิกขยายการทำนา รัฐบาลได้ออกอากรค่านาในทศวรรษ 2440 กลายเป็นรายได้สำคัญ ในสมัยนั้นกรุงเทพยังดูเหมือนบ้านนอกมาก มีนาข้าวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเริ่มจากกำแพงวังเลย โดยมีป่าร่มครึ้มอยู่หลังตลาดสำเพ็งที่จอแจ เป็นเมืองที่มีสวนและป่าสลับกับบ้าน วัด และวัง

เมื่อขุนนางตระกูลบุนนาคมีบทบาทในการครองราชย์ของรัชกาลที่ 4 ในปี 2398 กลุ่มหัวใหม่ได้มีอำนาจมากขึ้น ทรงเชิญเซอร์จอห์นเบาริ่ง ผู้สำเร็จราชการอังกฤษที่ฮ่องกงเมืองหลวงการค้าฝิ่นของอังกฤษมาเจรจาสนธิ สัญญาการค้ากับสยาม เพื่อเปิดเสรีทางการค้าปรับภาษีการเดินเรือจีนและอังกฤษให้เท่ากัน ให้คนของอังกฤษมีสิทธิสภาพนอกอาณาเขตคือไม่ต้องขึ้นศาลไทย ยอมให้อังกฤษนำฝิ่นเข้ามาขายผ่านรัฐบาลไทยและได้กลายเป็นแหล่งรายได้สูงสุด ของรัฐบาลไทย รัชกาลที่ 4 สั่งจดทะเบียนไพร่หลวง 2398 มีการออกกฎหมายลงโทษขุนนางที่แอบเอาไพร่หลวงไว้ใช้เอง มีชายฉกรรจ์ราวสี่ในห้าที่หนีการเกณฑ์แรงงาน ในราวปี 2410 บางคนหนีไปอยู่ตามหมู่บ้านห่างไกลในป่า บางคนไปขออาศัยอยู่กับเจ้านายที่ไม่ใช้งานพวกเขาหนักเกินไป บางคนติดสินบนเจ้าพนักงานเพื่อให้ได้การยกเว้น อ้างว่าเป็นเจ้าพนักงานหลวง เป็นพระ เป็นทาส พิการหรือทุพพลภาพ เป็นขอทาน สติไม่ดีหรือถูกผีเข้า ขณะที่สมาชิกคนชั้นนำที่ค้าขายหรือโยงใยกับเศรษฐกิจการตลาดก็จะส่งเสริมให้ ไพร่เป็นแรงงานอิสระมากขึ้น คนเริ่มจ่ายเงินทดแทนการถูกเกณฑ์ เมื่อถึงทศวรรษที่ 2380 รัฐบาลต้องจ้างกรรมกรจีนทำงานโยธา จนกระทั่งเงินที่ได้จากการจ่ายแทนแรงงานเกณฑ์กลายมาเป็นรายได้สูงสุดของรัฐ ในทศวรรษต่อมา ขุนนางที่ทำการค้าได้ขอให้รัชกาลที่ 4 ยกเลิกการเกณฑ์แรงงานรอบๆเมืองหลวงแต่ไม่สำเร็จ ขณะที่ทาสน้ำเงิน หรือผู้ที่ต้องเป็นทาสเพราะติดหนี้เพิ่มสูงขึ้นโดยมีไม่ต่ำกว่าหนึ่งในสาม ของประชากร เมื่อขายตัวลงเป็นทาสที่เรียกว่าทาสน้ำเงินก็ยังมีสถานะที่ดีกว่าไพร่เพราะ สามารถหาเงินจำนวนหนึ่งและหลีกเลี่ยงจากการถูกเกณฑ์แรงงาน บางคนทำงานชดใช้แทนหนี้สินหรือค่าน้ำเงิน บางคนก็ไปทำงานในตลาดการค้าเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ จึงกลายเป็นวิธีการปลดปล่อยไพร่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมรอบๆเมืองหลวงให้กลาย มาเป็นแรงงานเสรีสำหรับระบบเศรษฐกิจแบบการตลาด มีการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของผู้หญิงที่เคยเป็นสมบัติของผู้ชาย โดยรัชกาลที่ 4 ได้โปรดให้ยกเลิกสิทธิของสามีที่จะขายภรรยาหรือลูกโดยไม่ได้รับความยินยอม จากภรรยา ในปี 2411 แต่ก็ทรงเพิ่มสิทธิแบบโบราณให้กับหัวหน้าครอบครัวคนชั้นสูง ขณะที่ทรงกำหนดว่าผู้หญิงที่มีสถานะต่ำหรือเป็นคนชั้นกลางสามารถเลือกสามี ของตนเองได้ แต่ไม่ให้สตรีสูงศักดิ์เลือกสามีเองเพราะอาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของวงศ์ ตระกูล และกำหนดให้ครอบครัวที่มีศักดินาสูงเกินกว่า 400 ไร่ ให้บิดามีสิทธิ์ตามกฎหมายเหนือภรรยาและบุตรสาวมากขึ้น

สยามเปิดกว้างรับสิ่งต่างๆจากตะวันตกเพิ่มขึ้นหลังสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง แต่ในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา มีทั้งเชลยจำนวนมากที่ถูกกวาดต้อนมาจากดินแดนรอบนอกและชาวจีนที่อพยพเข้ามา ทำให้สังคมมีความหลากหลายมาก พวกชนชั้นนำจึงต้องสร้างและปลูกฝังหลักการทางความคิดเรื่องชาติให้เป็น เอกลักษณ์เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและใช้การบริหารราชการแบบรวม ศูนย์อำนาจเพื่อตั้งรับการคุกคามของเจ้าอาณานิคมและสร้างระบอบการปกครองและ ควบคุมทดแทนระบอบเก่าที่เสื่อมประสิทธิภาพและไม่อาจสนองตอบความต้องการใหม่ๆ ของระบบเศรษฐกิจการตลาด ขณะที่มีชาวจีนเข้ามาอยู่ในสยามถึง 3 แสนคนแล้ว เริ่มแรกรัฐบาลพยายามควบคุมคนจีนโดยรับเอาหัวหน้าชุมชนจีนเข้ามาเป็นส่วน หนึ่งของระบบราชการ แต่ชาวจีนอยู่กันแบบกระจัดกระจายเป็นหลายกลุ่มหลายพวก ทำให้การควบคุมแบบเก่าไม่ได้ผล มีความวุ่นวายในแถบไร่อ้อยภาคตะวันออกของกรุงเทพจนทางการต้องส่งทหารไปกำราบ เมืองระนองทางตอนใต้เกือบถูกยึดเมื่อคนงานเหมืองแร่ก่อการจลาจล รัฐบาลส่งเรือรบไปปราบ แต่ม็อบคนจีนตอบโต้โดยเผาเมืองภูเก็ตแล้วฉกชิงข้าวของ คนงานจีนที่กรุงเทพนัดหยุดงานทำให้ท่าเรือเป็นอัมพาต แก๊งคนจีนที่เป็นคู่อริก่อการต่อสู้ทำสงครามกันกลางกรุงเทพเป็นเวลา 3 วันในปี 2432 พวกชาวจีนได้ก่อตั้งสมาคมเพื่อช่วยเหลือและปกป้องกันเอง แต่รัฐบาลมองว่าเป็นสมาคมลับหรืออั้งยี่ ทั้งยังเกรงกลัวว่าพวกอั้งยี่จะลักลอบนำฝิ่นเข้ามา ทั้งต้มเหล้าเถื่อน ตั้งบ่อนการพนันแถมยังติดอาวุธอีกด้วยถึงกับมีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ด้วยปืน และปืนใหญ่ ขณะที่เริ่มมีปัญหาเรื่องโจรผู้ร้าย บางแห่งตั้งขึ้นมาปกป้องตนเองเพื่อต่อสู้กับทางราชการ ในพื้นที่ห่างไกลในภาคอีสานก็มีพวกกบฏผู้มีบุญหรือกบฏผีบุญเพื่อสร้างสังคม ที่เป็นธรรมและอุดมสมบูรณ์แก่ชาวสยามเชื้อสายลาว

สนธิสัญญาเบาว์ริ่งและสนธิสัญญาที่ทำกับฝรั่งชาติอื่นๆได้กระตุ้นเศรษฐกิจ ระบบตลาดให้ขยายตัว ให้อำนาจทางศาลแก่คนในอาณัติของฝรั่งให้ไปขึ้นศาลกงศุลของประเทศที่ตนสังกัด แทนที่จะขึ้นศาลไทย พ่อค้าจีนหลายคนทำตัวเป็นคนในอาณัติของฝรั่งหรือเป็นคู่ค้ากับคนในอาณัติของ ฝรั่งเพื่อที่จะหลบเลี่ยงกฎหมายและการควบคุมของรัฐบาลไทย ชาวจีนบางคนก็หันไปเข้ารีตคือเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์เพื่อเป็นข้ออ้างขอ ความคุ้มครองจากรัฐบาลฝรั่ง หากเจ้าหน้าที่รัฐบาลพยายามปราบปรามกิจกรรมของคนเหล่านี้ก็เกรงว่าจะกลาย เป็นประเด็นความขัดแย้งซึ่งเจ้าอาณานิคมอาจจะถือเป็นเหตุเข้ายึดครองสยามได้ ขณะที่รัชกาลที่ 4 ก็ยังทรงยึดโยงอยู่กับวิธีบริหารราชการแผ่นดินแบบดั้งเดิม โดยทรงได้ฟื้นฟูพิธีกรรมหลวงจำนวนมากที่ได้ร่วงโรยไปตั้งแต่เมื่อคราวเสีย กรุง รวมทั้งพิธีตรียัมปวาย หรือโล้ชิงช้าประจำปี พิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาหรือดื่มน้ำสาบาน ทรงสร้างหลักเมืองใหม่ สร้างพระสยามเทวาธิราชให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องบ้านเมือง ทรงแต่งตั้งตัวแทน 27 คนเดินทางไปไปอังกฤษเพื่อรวบรวมข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์การขนส่งและสถาบันการ เมือง ทรงจ้างฝรั่งเป็นที่ปรึกษารัฐบาลเพื่อมุ่งนำความเจริญมาสู่สยาม ทรงพยายามรวบรวมการเก็บภาษีไว้ที่ส่วนกลาง

รัชกาลที่ 5 ขึ้นครองราชย์เมื่อมีอายุเพียง 15 ปีในปี 2411 โดยมีสมเด็จเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ( ช่วง บุนนาค ) เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ร่างข้อเสนอให้ออกกฎหมายเลิกทาสอย่างสิ้น เชิง หรือให้ใช้วิธีการเก็บภาษีจนทำให้ระบบทาสต้องถูกยกเลิกไปเพื่อตอบโต้ข้อ กล่าวหาของนางแอนนาเลียวโนเวนส์ที่วิจารณ์ถึงความล้าหลังและป่าเถื่อนของชน ชั้นนำไทยและเพื่อเพิ่มจำนวนคนงานให้กับระบบเศรษฐกิจการตลาด แต่รัชกาลที่ 5 ทรงเสนอให้ยกเลิกเฉพาะทาสบางประเภทและทำแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อเอาใจพวกขุน นางหัวเก่าที่ต่อต้าน ทรงออกประกาศเมื่อเดือนสิงหาคม 2417 ให้ผู้เป็นทาสในเรือนเบี้ยหรือลูกทาสตั้งแต่ปี 2411 ซึ่งเป็นปีที่ขึ้นครองราชย์ให้เป็นไทเมื่ออายุครบ 21 ปี และห้ามผู้ที่เกิดหลังปี 2411 ขายตัวเองหรือถูกขายเป็นทาสเมื่ออายุ 21 ปี แต่ทาสประเภทอื่นยังคงมีอยู่ คือ ทาสสินไถ่คือทาสที่เกิดจากการขายตัว ขายภรรยาหรือขายบุตร ซึ่งเป็นทาสที่มีจำนวนมากที่สุด รวมทั้งทาสเชลยศึกและการขายเด็กเป็นทาส โดยที่ไม่ทรงเปลี่ยนระบบเกณฑ์แรงงาน
รัชกาลที่ 5 ทรงก่อตั้งกรมพระคลังและทรงก่อตั้งศาลใหม่เพื่อพิจารณาคดีจำนวนหนึ่งเป็นการ รวมศูนย์อำนาจการเก็บภาษีและอำนาจทางการศาลเป็นการลดรายได้และอำนาจของพวก ขุนนาง ทรงควบคุมการปกครองไปถึงระดับท้องถิ่น โดยการส่งข้าหลวงไปกำกับหัวเมืองที่หลวงพระบาง หนองคาย โคราช อุบลและภูเก็ต มีกองทหารประจำการ เจ้าเมืองเดิมยังมีตำแหน่งอยู่แต่ไม่มีอำนาจที่แท้จริง และเมื่อเสียชีวิตก็จะมีการแต่งตั้งเจ้าเมืองใหม่จากกรุงเทพและมักเป็น สมาชิกพระราชวงศ์ ทรงแต่งตั้งกรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นเสนาบดีมหาดไทยนำระบบรวมศูนย์อำนาจ จากกรุงเทพมาปรับใช้ในมณฑลชั้นใน ให้กรุงเทพแต่งตั้งเจ้าเมืองแทนตระกูลเจ้าเมืองเดิมที่สืบทอดตำแหน่งกันมา พอถึงปี 2457 กระทรวงมหาดไทยก็แต่งตั้งข้าราชการถึง 3,000 นายไปประจำตามหัวเมืองต่างจังหวัดโดยกินเงินเดือนจากกรุงเทพแทนระบบการกิน เมืองแบบเดิมมีการสร้างที่ว่าการมณฑลแทนจวนหรือบ้านของเจ้าเมืองเดิม

พวกหัวเมืองรอบนอกออกไปหลายแห่งได้ก่อการกบฏ ทั้งที่ขอนแก่น เชียงใหม่ กบฏผีบุญที่อุบล รัฐที่ภาคใต้ การกบฏที่ภาคเหนือเข้ายึดเมืองแพร่ การกบฏที่ล้านนา กบฏที่อีสานเข้ายึดเมืองเขมราฐในอุบลที่ฝั่งแม่น้ำโขง แต่บรรดากบฏเหล่านี้ใช้เพียงอาวุธพื้นเมืองและเชื่อว่าน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ของผู้มีบุญที่เป็นผู้นำหรือผีบุญจะทำให้พวกเขาอยู่ยงคงกระพัน ขณะที่รัฐบาลมีทั้งปืนใหญ่และอาวุธปืนอื่นๆ กองทหารได้สังหารฝ่ายกบฏที่อีสาน จับผู้นำกบฏที่ล้านนาประหารชีวิต จับเจ้าเมืองปัตตานีที่เป็นชาวมลายูขังคุก ทางราชสำนักได้ชะลอการปฏิรูปลงระยะหนึ่งโดยเฉพาะที่ล้านนาเพื่อลดกระแสความ กระด้างกระเดื่องไม่พอใจ....

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น