You can replace this text by going to "Layout" and then "Edit HTML" section. A welcome message will look lovely here.
RSS

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ความลับของวิกฤตประเทศไทย

Thai translation of my article "Thailand’s secret story: the battle for a $37b royal estate" in the Australian Financial Review on May 31, 2014. Please carefully consider your safety before sharing, commenting or clicking 'like'. ความลับของประเทศไทย : สงครามแย่งชิงราชสมบัติมูลค่ากว่า 1.1 ล้านล้านบาท หนึ่งสัปดาห์แล้ว ที่ผู้บัญชาการทหารบกของไทย ได้สร้างความตกตะลึงแต่นานาชาติด้วยการเข้ายึดอำนาจการปกครองอย่างกระทันหัน และถ่วงราชอาณาจักรแห่งนี้ให้ถลำลึกสู่กลียุคมากยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งนานวัน รัฐบาลทหารนี้ยิ่งปิดหูปิดตามากขึ้น จนตรอกมากขึ้น และอันตรายมากขึ้น การประท้วงในรูปแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนได้เกิดขึ้นบนท้องถนนหลายสายในกรุงเทพมหานคร นักข่าวและนักวิชาการไทยหนีออกนอกประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งก็ถูกรัฐบาลทหารคุมขังไว้โดยไม่สามารถรู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร มีการปิดปากสื่อเสรีต่างๆ นายพลเหล่านี้ทำถึงขนาดที่ว่า ปิด Facebook ไปชั่วเวลาหนึ่ง สร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับชาวไทยนับล้านๆคนที่บริโภคสื่อออนไลน์ (ทหาร)ยังคงสาละวนอยู่กับการจัดการรัฐบาลที่เพิ่งยึดมาได้ นับเป็นการรัฐประหารครั้งที่ 14 (ผู้แปล-ในรอบ 82 ปี) นับแต่ปี 2475 รัฐบาลทหารอ้างว่าทำการยึดอำนาจเพื่อช่วยชาติไว้จากภัยพิบัติอันเป็นผลมาจากการชุมนุมต่อต้านต่างๆและแก้ปัญหาสูญญากาศทางการเมือง. พลโท ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข รองเสนาธิการทหารบก ได้กล่าวกับสื่อมวลชนต่างชาติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (29 พ.ค. 57) ว่า "มวลชนพร้อมที่จะปะทะกัน และถ้ามันเกิดขึ้น อาจจะนำไปสู่สงครามกลางเมือง และหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ต่างๆไม่สามารถปล่อยให้ประเทศไทยเดินลงไปทางนั้น" นักวิเคราะห์ต่างชาติบางส่วนมองการรัฐประหารครั้งนี้อย่างผิวเผิน โบรกเกอร์จาก UOB KAY HIAN ประจำสิงคโปร์กล่าวว่า "เป็นการช่วยผ่าทางตัน" ทางด้านนาย Kritapas Siripassorn นักวิเคราะห์จาก citibank ชี้แจงต่อลูกค้าว่า "ในระยะสั้นนี้ การแทรกแซงของทหารช่วยยับยั้งความรุนแรง" และนาย Philip McNicholas จาก BNP Paribas กล่าวว่า "การรัฐประหารครั้งนี้ ยุติความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นได้เร็วกว่าที่คาด" ความเห็นเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจผิดในรากเหง้าของธรรมชาติความขัดแย้งของไทย อันที่จริงแล้ว รัฐประหาร ทำให้ราชอาณาจักรแห่งนี้ยิ่งไม่มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น และภาพของการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีก็ดูจะลางเลือนลงอย่างรวดเร็ว ความวุ่นวายทางการเมืองของไทยที่รุนแรงขึ้นเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2005 นั้น ทำให้นักวิเคราะห์ส่วนมากสับสน สาเหตุหนึ่งก็คือความสลับซับซ้อนของวิกฤติการณ์นี้ - นับตั้งแต่เข้าสู่สหัสวรรษใหม่มานี้ เกิดการต่อสู่กันระหว่างคู่ขัดแย้งมากมายหลายก๊กหลายเหล่า ไหนจะมิติทางการเมืองในภูมิภาค การงัดข้อกันของจีนและสหรัฐที่ต่อสู้กันเพื่อช่วงชิงความมีอิทธิพลในราชอาณาจักรแห่งนี้. ไหนจะปัจจัยความเหลือมล้ำทางภาคต่างๆของประเทศที่ส่งผลต่อความวุ่นวายของไทย ความขัดแย้งระหว่างสีเสื้อ กล่าวคือ ชนชั้นสูงในกรุงเทพและชาวจังหวัดภาคใต้ที่มั่งคั่ง ซึ่งฮั้วกันอยู่ในชื่อ "เสื้อเหลือง" ผู้ซึ่งต่อสู้กันกับ การรวมตัวกันของชนชาวเหนือและชาวอิสานที่มีฐานะทางเศรษฐิกิจที่ต่ำกว่าภายใช้ชื่อ "เสื้อแดง" เฉกเช่นประเทศที่กำลังพัฒนาอื่นๆในโลกนี้ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยนี้ จริงๆแล้วเป็นความต่อสู้กันระหว่างคนรวยกับคนจน, ซึ่งเป็นการชนชั้นปกครองหยิบมือหนึ่งต่อสู้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนจากประชาชนธรรมดาๆที่เริ่มเรียนรู้อะไรมากขึ้น และเรียกร้องการมีผ่องถ่ายอำนาจทางการปกครองและฐานะทางเศรษฐกิจมาสู่ประชาชนให้มากขึ้น แต่สาเหตุที่ทำให้เข้าใจปัญหาของประเทศไทยได้ยากลำบากนั้น เป็นเพราะว่าใจกลางของปัญหานั้น ถูกเพิกเฉยเรื่อยมา. กษัตริย์ของประเทศไทยนั้นอายุ 86 ปีแล้ว กำลังป่วยลง และอ่อนแรงลงเรื่อยๆ และขณะนี้ชนชั้นสูงก๊กเหล่าต่างๆกำลังทำ "สงครามที่มองไม่เห็น" เพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์กันอยู่ รางวัลของการได้ครอบครองราชบัลลังก์นั้นคือการได้ครอบครองสมบัติขนาดมหึมากว่า 1.1 ล้านล้านบาท. ฝ่ายใดก็ตามที่ประสบความสำเร็จในฐานะ "ผู้อุ้มกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นสู่บัลลังก์" นั้น หมายใจได้ทีเดียวว่าจะได้เป็นผู้กุมอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจสืบไป นี่คือเหตุผลว่าทำไมความขัดแย้งของไทยนั้นช่างดูขมขื่นและโหดร้าย สาเหตุสำคัญที่ทำให้เราแทบไม่ได้ยินข้อมูลสำคัญเหล่านี้เป็นข่าว เพราะกฏหมายของไทย(ผู้แปล- ป.อาญา มาตรา.112) ของไทยนั้น มีบทลงโทษผู้ที่วิจารณ์กษัตริย์หรือครอบครัวในทางลบหรือในทางไม่เคารพ นักสื่อสารมวลชนก็ดี เหล่านักวิชาการ นักสื่อสารมวลชน หนักวิเคราะห์ต่างๆของไทยล้วนแล้วแต่อยู่ในฐานะน้ำท่วมปาก มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพูดถึงเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ฝ่าฝืนกฏหมาย นาย Christopher Wood กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของบริษัท CLSA (ผู้แปล-บริษัทการเงินและที่ปรึกษาการลงทุนที่มีชื่อเสียงในระดับระหว่างประเทศ มีฐานอยู่ในฮ่องกง) ได้ระบุในงานเขียนลงจดหมายข่าวเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ ในหัวหนังสือชื่อ "Greed & Fear". ของเขาว่า "ท่ามกลางเกมส์การเมืองทั้งหมดนี้ สิ่งที่มีอยู่เต็ม-อก ของเหล่าชนชั้นปกครองนั้น สื่อไม่สามารถพูดมันออกมาได้ ไม่ว่าจะเป็นสื่อทางแจ้งทั่วไป หรือในรูปงานวิจัยที่ซื้อขายกันในหมู่นักลงทุน เพราะกฏหมายหมิ่น" เขากล่าวต่อไปอีกว่า "เอาเป็นว่า เราเรียกเรื่องนี้ว่า...เรื่องใหญ่หลวงที่พูดไม่ได้" ผู้สืบราชบัลลังก์ที่ได้รับการแต่งตั้งไว้อย่างเป็นทางการ คือเจ้าชายมหาวชิราลงกรณ์วัย 61 ปี ผู้ซึ่งเป็นที่โจษจันกันมานานในหมู่คนไทยจำนวนมากเรื่องความน่ากลัว พระองคืยังตกเป็นที่กล่าวขวัญในทางเสียๆหายๆในหมู่ญาติของพระองค์ เป็นเวลาหลายสิบปีแล้วที่เหล่าขุนนางผู้ใหญ่ในประเทศนี้ ต่างหวั่นเกรงว่าวันหนึ่งเจ้าชายผู้นี้จะขึ้นครองบัลลังก์เป็นรัชการที่ 10 และพวกขุนนางเหล่านั้นได้วางแผนที่จะหักหลังและพรากบัลลังก์ทองนั้นไปจากเจ้าชาย เหล่าชนชั้นสูงต้องหวาดหวั่นเป็นสองเท่าเมื่อเจ้าพ่อธุรกิจโทรคมนาคม ทักษิน ชินวัตร ได้เรืองอำนาจขึ้นมาในปี 2001 โดยการชนะการเลือกตั้งชนิดที่เป็นประวัติการณ์ อย่างแรก แรงสนับสนุนมหาศาลที่มีต่อทักษินนั้นสร้างขึ้นมาจากนโยบายประชานิยมที่มุ่งปรับปรุงความเป็นอยู่ของประชาชนในเขตต่างจังหวัด ประชาชนที่ถูกชนชั้นที่มีอำนาจทางการเมืองละเลยเสมอมา และดูเหมือนกำลังคุกคามสถานะของชนชั้นปกครอง อย่างที่สอง ทักษินพยามที่จะทำตัวเป็น "ผู้อุ้มเจ้าชายขึ้นสู่บัลลังก์" และพยามผูกสัมพันธ์กับเจ้าชายมหาวชิราลงกรณ์ ดูเหมือนว่าชนชั้นปกครองรุ่นใหม่กำลังจะเข้าแทนที่รุ่นเก่าด้วยสูตรการรวมตัวของทักษินและเจ้าชาย ซึ่งจะกุมอำนาจทั้งอำนาจทางการเมืองและอำนาจทางการเงินไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ งานนี้ต้องขอบคุณคะแนนเสียงโหวตจากชนชั้นล่างและความมหาศาลของราชสมบัติ หลังจากทักษินชนะการเลือกตั้งเป็นครั้งที่สองอย่างถล่มทลายเป็นประวัติการณ์ในปี 2005 ชนชั้นสูงเริ่มเปลี่ยนจากความกังวลใจกลายเป็นสติแตก รัฐบุรุษอาวุโสผู้นิยมเจ้าเริ่มความพยามโค่นทักษินอย่างออกหน้าออกตาโดยร่วมมือม๊อบชนชั้นกลางที่ออกมาเล่นข้างถนน (ที่เรียกกันว่า เสื้อเหลือง) เพราะมีกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พวกเขาจึงมุ่งเป้าโจมตีทักษินด้วยการกล่าวหาในเรื่องคอรัปชั่นต่างๆ แต่ไม่กล้าพูดเรื่องต้องห้ามที่พวกเขาหวาดกลัวอยู่ในใจ คือปัญหาที่ว่าหลังจากกษัตริย์สวรรคตแล้ว เครืออำนาจและสถานะสังคมของพวกเขาจะต้องถูกบดบังแทนที่ด้วยเครือทักษินและฟ้าชาย รัฐสภาของไทยนั้นขึ้นชื่อมานานเรื่องอ่อนด้อยประสิทธิภาพ เพราะถูกครอบงำโดยผู้มีอำนาจที่แท้จริงคือพวกขุนนางชั้นสูงผู้จงรักภักดี เหล่าเศรษฐี และเหล่านายพลผู้กุมอำนาจในกองทัพ กลุ่มผู้ซึ่งกุมอำนาจอยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริงเหนือระบบรัฐสภา และยังจะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการนำกษัตริย์องค์ต่อไปขึ้นครองราช หลายสิบปีมานี้ ประเทศไทยอยู่วนเวียนอยู่กับการเขียนรัฐนุญใหม่ โดยเฉพาะหัวข้อของการสืบบัลลังก์ที่พยามแก้ห้รัฐสภา(ที่พวกเขาครอบงำ)เป็นผู้เลือกกษัตริย์องค์ต่อไปขึ้นครองราชย์ ชนชั้นสูงของไทยนั้นอยากจะมั่นใจว่าพวกเขาต้องได้กุมอำนาจของรัฐสภาไว้ในกำมือในวินาทีที่กษัตริย์องค์ปัจจุบันสิ้นพระชนม์ นี่คือเหตุผลว่าทำไม ตั้งแต่ปี 2005 มานี้ เครือข่ายอำนาจเก่าถึงได้จองล้างจองผลาญทักษินอย่างโหดร้ายแต่ก็ไม่สามารถล้มเขาลงได้ สำหรับประชาชนธรรมดาๆนับล้านๆคนยังเห็นทักษินเป็นเหมือนฮีโร่ของพวกเขา และนั้นทำให้ในการเลือกตั้งปี 2007 และ 20011 นั้น ตันแทนของทักษินก็ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งได้อย่างง่ายดาย ชนชั้นสูงที่เป็นศัตรูกับทักษิน ตั้งหลักเพื่อหาวิธี(ที่อุบาทว์กว่าเดิม)โค่นทักษินลงให้จงได้ ในกลางปี 2008 เหล่าตุลาการนิยมเจ้าได้ปลดนายกฯ (ผู้แปล-สมัคร สุนทรเวช) ผู้ซึ่งเป็นนายกตัวแทนของทักษิน ในข้อหารับค่าจ้างในการทำกับข้าวออกทีวี หลังจากนั้น ในปีเดียวกันนั้นเอง ม๊อบเสื้อเหลืองได้ปิดสนามบินกรุงเทพ และก็เป็นอีกครั้งที่ฝ่ายตุลาการได้สั่งล้มรัฐบาลและเหล่าทหารเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดตั้งรัฐบาลฝ่ายเจ้า เข้าสู่สภา นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ผู้แปล - นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้รับเลือกจากสภาผู้แทนให้เป็นนายกฯต่อจากสมัคร สุนทรเวช ที่ถูกพ้นตำแหน่ง จากนั้นไม่นานนัก ศาลรัฐธรรมนุญได้ใช้ประกาศของ คมช. ในการสั่งยุบพรรคเพื่อพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย พร้อมแบนกรรมการบริหารพรรคเหล่านี้ 5 ปี (ที่เรียกกันว่า บ้านเลขที่ 111 คือถูกแบนรวมกัน 111 คน) ในส่วนของพรรคพลังประชาชนนั้น มีผลให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยปริยาย ขณะนั้นสภาผู้แทนยังถือว่ามีอยู่ จึงอาศัยการยกมือของ สส. เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี นายเนวิน ชิดชอบได้แปรพักตร์มายกมือให้ฝ่ายเจ้า ทำให้นายอภิสิทธิ์กลายเป็นผู้มีคะแนนเสียงสูงสุดโดยปริยายและได้รับเลือกเป็นนายกฯรัฐมนตรี โดยมีข่าวลือว่า ทหารเป็นโต้โผตกลงแบ่งเค้กให้กลุ่มเนวินเพื่อตั้งรัฐบาลผสมนำโดยประชาธิปัตย์ ในปี 2011 ทักษินกลับมาหายใจหายคอได้อีกครั้ง เมื่อน้องสาวได้รับเลือกเป้นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย ชนชั้นสูงจึงต้องดำเนินการโค่นล้มรัฐบาลของเธอต่อ เมื่อยิ่งลักษณ์ได้ขอให้มีการเลือกตั้งเพื่อทราบฉันทามติจากประชาชนอีกครั้ง เหล่อม๊อบคลั่งเจ้าก็ได้เข้าทำการปิดล้อมคูหาเลือกตั้งเพื่อไม่ให้ชาวไทยได้ลงคะแนนเสียง จากนั้นฝ่ายตุลาการก็ได้ประกาศให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะและถอดยิ่งลักษณ์ออกจากเก้าอี้ แต่เหล่าชนชั้นสูงก้ยังคงไม่สามารถควบคุมสภาไว้ได้ จนกระทั่งเมื่อทหารเข้ายึดอำนาจเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ฝ่ายเจ้าและทหาร ผู้หมกมุ่นแต่เรื่องสืบบัลลังก์ ผู้ไม่แคร์ใจว่าประเทศไทยและโลกใบใหญ่นี้ได้เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน พวกเขาไม่สามารถจะรับรู้ได้เลยว่า กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่พวกเขาล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและท้าทายเจตน์จำนงค์ของประชาชนผู้ใช้สิทธินั้น นั้น ได้สร้างความโกรธแค้นอย่างมหาศาลขนาดไหน พลเมืองชั้นสองนับล้านๆคนมีความไม่พอใจอย่างมาก และได้มีการรวมตัวกันเพื่อเคลื่อนไหวอย่างใหญ่หลวงเพื่อต่อสู้ปกป้องสิทธิของตน ประชาชนในต่างจังหวัดที่เป็นเสื้อแดงนั้นไม่ปารถนาที่จะอยู่ภายใต้โอวาทและรับใช้ชนชั้นสุงอีกต่อไป ด้วยอำนาจของโซเชียลมีเดีย วิทยุชุมชน และการรับรู้ถึงโลกที่อยู่นอกกะลาของพวกเขา พวกเขาต้องการมี 1 สิทธิ 1 เสียง เท่ากับชนชั้นปกครอง ในปี 2014 เห็นได้ชัดว่าฝ่ายเครืออำนาจเก่าไม่สามารถต่อสู้ในสนามเลือกตั้งใต้ พวกเขาจึงต้องการกำจัดประขาธิปไตยออกไป นี่คือใจความสำคัญของวิกฤตการณ์ในประเทศไทย ความทุลักทุเลของประชาธิปไตยในไทยนั้นถูกโยงใยยุ่งเหยิงอยู่กับการศึกชิงบัลลังก์ อาจจะฟังดูตลกร้ายหน่อยแต่สำหรับเสื้อเหลืองและเสื้อแดงแล้ว สิ่งที่พวกเขาเห็นตรงกันนั้น มีมากกว่าที่พวกเขาเห็นต่างกันเสียอีก พวกเขาล้วนต้องการรัฐบาลที่ซื่อสัตย์และมีความสามารถ พวกเขาหมดความอดทนกับคอรัปชั่นและนักการเมืองที่เห็นแก่พวกตน พวกเขาต้องการกฏหมายเป็นธรรมและไม่มีสองมาตราฐาน พวกเขาต้องการประเทศไทยที่สงบและเจริญรุ่งเรือง แต่ในขณะที่กษัตริย์ภูมิพลยังมีพระชนม์ชีพอยู่ (ผู้แปล- ศึกชิงบัลลังก์ยังไม่รู้ผล) ความแตกแยกคงจะยังกลัดหนองมากเข้าไปอีก เดิมพันนั้นสูง ผลประโยชน์ทั้งอำนาจและเงินตรานั้นมหาศาล มากเกินกว่าที่ก๊กเหล่าของกลุ่มชนชั้นสูงจะตกลงกันได้อย่างสันติ ความวุ่นวายจะไม่จบจนกว่ากษัตริย์องค์ใหม่จะขึ้นครองราชย์ รัฐประหารครั้งนี้ไม่ได้ชี้ว่าปัญหานั้นยุติแต่อย่างใด เป็นแค่ฉากหนึ่งของมหากาพย์ที่ไม่มีทีท่าจะจบง่ายๆ "เรายังมองไม่เห็นเลยว่า ความขัดแย้งทางการเมืองของไทยจะจบลงอย่างไร" DanFineman นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Credit Suisse กล่าว (Many thanks to "Was Blind But Now I See" for translating)

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น